ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด บทสนทนาส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่กับการสร้างเครื่องจักรที่ชาญฉลาดเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ แต่ ผศ. ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยจาก MIT Media Lab, USA ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่แตกต่างและลึกซึ้งกว่านั้น โดยเปลี่ยนจุดสนใจจาก “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence) ไปสู่ “ปัญญาไซบอร์ก” (Cyborg Intelligence) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการขยายศักยภาพและส่งเสริม “ความงอกงามของความเป็นมนุษย์” (Human Flourishing)
วิสัยทัศน์ดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านโครงการวิจัยหลากหลายมิติที่ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI (Human-AI Interaction) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเทคโนโลยีที่ไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว แต่ผสานรวมเข้ากับกระบวนการคิดและชีวิตของมนุษย์อย่างแนบเนียน เพื่อขับเคลื่อน 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่ ปัญญา (Wisdom), ความน่าทึ่ง (Wonder), และสุขภาวะที่ดี (Wellbeing)
นิยามใหม่ของ ‘ไซบอร์ก‘: ไม่ใช่แค่โลกอนาคตแต่คือปัจจุบันของเรา
คำว่า “ไซบอร์ก” (Cyborg) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในนิยายวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์มีร่างกายเป็นเครื่องจักร แต่มีรากฐานมาจากแนวคิดทางวิชาการที่ลึกซึ้งตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งมองว่าเทคโนโลยีในอนาคตควรจะทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างราบรื่นเสมือนเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย ปลดปล่อยให้มนุษย์มีอิสระในการสำรวจและสร้างสรรค์
ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ (Cognitive Scientist) อย่าง Andy Clark ได้เสนอว่า มนุษย์เราทุกคนล้วนเป็น “ไซบอร์กโดยกำเนิด” (Natural-born Cyborgs) เพราะเราใช้เครื่องมือภายนอก เช่น การจดบันทึก หรือสมการบนกระดาษ เพื่อขยายกระบวนการคิดของเราออกจากสมองชีวภาพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น AI ในมุมมองนี้จึงไม่ใช่ “ปัญญาประดิษฐ์” ที่จะมาแทนที่ แต่เป็น “เครื่องมือเสริมปัญญา” (Intelligence Augmentation: IA) ที่จะมาต่อยอดความสามารถของเรา
AI ในห้องเรียน: จากผู้สอนสู่ผู้สร้างแรงบันดาลใจ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการประยุกต์ใช้แนวคิดนี้คือในแวดวงการศึกษา แทนที่จะใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือป้อนข้อมูลความรู้แบบดั้งเดิม ทีมวิจัยได้พัฒนา “ตัวละคร AI” (AI-Generated Characters) ที่สามารถสวมบทบาทเป็นบุคคลที่เด็กชื่นชอบ เช่น Harry Potter หรือแม้กระทั่ง Elon Musk จำลอง เพื่อเป็นผู้สอนและสร้างแรงบันดาลใจ
ผลการทดลองชี้ชัดว่า เด็กที่เรียนรู้กับ AI ที่เป็นไอดอลของตนเอง มีแรงจูงใจและความตั้งใจเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญคือพวกเขากล้าที่จะเรียนรู้ในหัวข้อที่ยากและท้าทายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสร้าง AI ของบุคคลในประวัติศาสตร์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบและซักถามได้โดยตรง ทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่เป็นการสนทนาที่มีชีวิตชีวา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถเป็นเครื่องมือเสริมกระบวนการเรียนรู้เดิมให้มีประสิทธิภาพและน่าตื่นเต้นกว่าเดิม
ดาบสองคม: เมื่อ ‘AI’ อาจกลายเป็น ‘Addictive Intelligence’
อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์นี้มาพร้อมกับมุมมองที่ “มองโลกในแง่ดีอย่างมีวิจารณญาณ” (Critical Optimism) โดยตระหนักว่าเทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม ก็อาจกลายเป็น “ปัญญาที่ทำให้เสพติด” (Addictive Intelligence) ได้เช่นกัน และยังมีความเสี่ยงที่ AI อาจสร้างคำอธิบายปลอมที่ฟังดูสมเหตุสมผล (Gaslighting) เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการให้ข้อมูลทางการแพทย์
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดความร่วมมือกับ OpenAI (ผู้สร้าง ChatGPT) เพื่อทำการวิจัยขนาดใหญ่ในการวัดพฤติกรรมของ AI ว่ามีแนวโน้มส่งเสริมสุขภาวะทางอารมณ์ (Pro-social) หรือต่อต้านสังคม (Anti-social) ซึ่งผลการวิจัยได้ถูกนำไปใช้อ้างอิงในการร่างกฎหมายในรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อปกป้องผู้บริโภคจาก AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเสพติด นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี “สมองที่สอง” ในรูปแบบอุปกรณ์สวมใส่ (Intelligence Wearable) ที่ช่วยผู้ใช้ประมวลผลข้อมูลและแยกแยะข่าวปลอมออกจากข่าวจริงได้ดีขึ้น
‘Future You’: คุยกับตัวเองในอนาคตเพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่า
ก้าวข้ามไปอีกขั้นคือการใช้ AI เพื่อช่วยในการตัดสินใจระยะยาว ผ่านโครงการ “Future You” ซึ่งเป็นการสร้าง “แบบจำลองมนุษย์ขนาดใหญ่” (Large Human Model) ที่สามารถจำลองตัวตนของเราในอนาคตเพื่อให้เราได้พูดคุยด้วย แนวคิดนี้เปรียบเสมือนการมีไทม์แมชชีนของโดราเอมอน ที่ช่วยให้เราได้พบและปรึกษากับตัวเองในเวอร์ชันที่เติบโตขึ้น
ผลการทดลองพบว่าผู้ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับ “ตัวเองในอนาคต” มีแนวโน้มความวิตกกังวลและความรู้สึกสิ้นหวังลดลง ขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการคิดวางแผนเพื่ออนาคตมากขึ้น โครงการนี้ประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยมีผู้ใช้งานกว่า 190 ประเทศ และกำลังถูกนำมาต่อยอดในประเทศไทยร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อช่วยให้เด็กที่ขาดแคลนโอกาสสามารถวางแผนอนาคตของตนเองได้ดีขึ้น
บทสรุปของวิสัยทัศน์ “ปัญญาไซบอร์ก” คือการตั้งคำถามสำคัญว่า เราจะสร้างเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นได้อย่างไร ท่ามกลางความย้อนแย้งที่เทคโนโลยีกำลังมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น (Humanized Machine) แต่สังคมกลับกำลังผลักดันให้มนุษย์ทำหน้าที่ซ้ำ ๆ คล้ายเครื่องจักร (Machinized Human) คำตอบจึงไม่ได้อยู่ที่การสร้าง AI ที่ฉลาดที่สุด แต่อยู่ที่การสร้าง “สังคมที่ให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์” (Human-centered Society) ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ส่งเสริมให้มนุษย์เติบโตและงอกงามอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Cyber Subin เมื่อ ‘โค้ด AI’ เรียนรู้ ‘รหัสรำไทย’
โกโกลุก เปิดตัว Whoscall โฉมใหม่ ผสาน AI และพลังชุมชน ป้องกันภัยมิจฉาชีพ