WHA Group เผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรายได้รวม 9,325 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,148 ล้านบาท พร้อมประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ครึ่งปีหลังภายใต้แนวคิด “Beyond Challenges, Unlocking the Future” มุ่งคว้าโอกาสจากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตทั่วโลก การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และความยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม
คว้าโอกาสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกได้เปลี่ยนจากยุคของการแบ่งขั้ว (Decoupling) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ไปสู่โลกที่แบ่งเป็นหลายขั้ว (Fragmented World) อย่างชัดเจน ปัจจัยดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า 47% ของบริษัทอเมริกันในจีนกำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิต โดยมีภูมิภาคอาเซียนเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อประเทศไทย
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนผ่านตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 7 แสนล้านบาท จากการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลข FDI ของไทยมีความใกล้เคียงกับเวียดนาม และหากพิจารณาเฉพาะการลงทุนใหม่ (New Investment) ประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท เทียบกับเวียดนามที่ 3 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการย้ายฐานการผลิตคือมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาษีการส่งผ่านสินค้า (Transshipment) ที่สูงถึง 40% ซึ่งทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนมาเพื่อบรรจุหีบห่อใหม่และส่งออกต่อไม่คุ้มค่าอีกต่อไป และผลักดันให้ผู้ประกอบการต้องตั้งฐานการผลิตจริงในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย
เมื่อเจาะลึกการลงทุนจะพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นกลุ่มที่เติบโตสูงสุด โดยมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ ตามมาด้วยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการย้ายฐานของกลุ่มผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ปัจจุบันย้ายมาตั้งฐานในไทยแล้วกว่า 60 บริษัท และกลุ่มยานยนต์อีก 45,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ตอกย้ำว่าประเทศไทยยังคงเป็นหมุดหมายการลงทุนที่สำคัญและส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group อย่างยิ่ง
ขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศรองรับดีมานด์
ปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อรองรับกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล WHA Group ได้เตรียมความพร้อมด้านพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มกำลัง โดยปัจจุบันมีพื้นที่ในการดำเนินงานและที่กำลังพัฒนารวมกว่า 80,000 ไร่ ใน 16 นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
ในประเทศไทย โครงการที่เป็นเรือธงคือ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 5 (WHA EIE 5) ซึ่งเฟสแรกมีพื้นที่กว่า 3,400 ไร่ และมีความคืบหน้าในการพัฒนาแล้ว 27% โดยยังมีที่ดินสำหรับเฟส 2 ที่เตรียมไว้แล้วเกือบ 3,000 ไร่ เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังได้บุกเบิกพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี อินดัสเตรียล แลนด์ 2 (WHA SIL 2) ขนาด 2,500 ไร่ เพื่อรองรับคลัสเตอร์อุตสาหกรรม PCB และอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ
ผลจากการเตรียมความพร้อมทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้ารายใหม่ได้ถึง 35 ราย โดยสัดส่วนนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่นักลงทุนจากจีนยังคงมีสัดส่วนที่สูงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างลูกค้ารายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของอุตสาหกรรม เช่น Haier (เครื่องใช้ไฟฟ้า) Winhigh (ชิ้นส่วนดิสก์เบรกสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า) และ Lotus Biscoff (ผู้ผลิตขนมชั้นนำจากยุโรป)
สำหรับประเทศเวียดนาม แม้จะมีความท้าทายในช่วงต้นปี แต่ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ทำให้ WHA Group ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการสำคัญในหลายจังหวัด ได้แก่
- เหงะอาน: โครงการเฟส 2 ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ มียอดขายแล้วกว่า 50% และกำลังอยู่ในขั้นตอนการขยายโครงการเพิ่มอีก 250 เฮกตาร์
- แทงฮว้า: ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการขยายสู่พื้นที่ใหม่ใกล้กรุงฮานอย โดยได้รับใบอนุญาตลงทุน (IRC) แล้ว 2 โครงการใหญ่ คือ Smart Tech Zone 1 และ 2 และยังมี MOU ที่ลงนามเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ
- ดานัง และ ฮึงเยน: เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่บริษัทได้ลงนาม MOU กับหน่วยงานภาครัฐของเวียดนาม เพื่อปักหมุดการพัฒนาโครงการในอนาคต
ในช่วงครึ่งปีแรก ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมียอดขายที่ดินรวม 1,105 ไร่ และยังคงเป้าหมายทั้งปีไว้ที่ 2,350 ไร่ โดยมั่นใจว่าความต้องการที่ดินในประเทศไทยที่แข็งแกร่งจะสามารถชดเชยความท้าทายในตลาดเวียดนามได้ และทำให้มูลค่าสัญญาซื้อขายโดยรวมเติบโตมากกว่า 10% ตามเป้าหมาย
สาธารณูปโภคและพลังงาน: Backbone สำคัญที่เติบโตคู่กับอุตสาหกรรม
สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ อัครินทร์ประเทืองสิทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ร่วมกันแถลงการเติบโตของธุรกิจที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลังให้กับภาคอุตสาหกรรม
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) แม้ยอดขายน้ำโดยรวมในครึ่งปีแรกจะลดลงเล็กน้อยตามวัฏจักรของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Products) ยังคงเติบโตถึง 29%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญที่สุดมาจากกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำในปริมาณมหาศาล โดยในครึ่งปีแรก WHAUP ได้ลงนามสัญญาใหม่กับลูกค้ากลุ่มนี้ไปแล้วถึง 27.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นรายได้กว่า 700 ล้านบาทต่อปี และยังมีสัญญาที่อยู่ระหว่างการเจรจาในครึ่งปีหลังอีกกว่า 29 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ธุรกิจพลังงาน WHAUP ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มุ่งสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างชัดเจนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัญญาโครงการพลังงานทดแทนในมือแล้วถึง 441 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 285 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนานวัตกรรม Energy Trading Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างผู้ประกอบการในนิคมฯ ปัจจุบันอยู่ในช่วง Sandbox และมีลูกค้าเข้าร่วมแล้วกว่า 30 ราย คาดว่าจะเริ่มซื้อขายได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะกลายเป็น S-Curve ใหม่ของธุรกิจ และเช่นเดียวกับธุรกิจน้ำ
กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของธุรกิจพลังงาน โดย WHAUP มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการโควต้าพิเศษ 2,000 เมกะวัตต์ของภาครัฐ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดของลูกค้ากลุ่มนี้
ขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ (Green Can Be Eaten)
ณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่ว่า “กรีนต้องกินได้” ซึ่งหมายถึงการดำเนินธุรกิจที่รักโลกและสร้างรายได้สามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้ โดย WHA Group ได้พิสูจน์แนวคิดนี้ผ่านผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และมองว่าความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือ “เงินลงทุนเพื่ออนาคต”
ผลประกอบการที่พิสูจน์ว่า “กรีนกินได้” ในปี 2567 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืนสามารถสร้างรายได้และผลกระทบเชิงบวกได้อย่างชัดเจน ดังนี้ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (Mobility) สร้างรายได้ 132 ล้านบาท และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 2,800 ตัน ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) สร้างรายได้ 493 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 61,000 ตัน และธุรกิจน้ำหมุนเวียน (Reclaimed Water) สร้างรายได้ 303 ล้านบาท จากการบำบัดน้ำกลับมาใช้ใหม่ 7.6 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของ 170,000 ครัวเรือน
เป้าหมายสู่อนาคต: การเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลกำไร
WHA Group ได้วางแผนการลงทุน 5 ปี ด้วยงบประมาณกว่า 48,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจกลุ่มนี้อย่างก้าวกระโดด โดยตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนภายในปี 2572 ไว้ดังนี้
- Mobility: จะมีรถยนต์ไฟฟ้าในระบบถึง 20,000 คัน สร้างรายได้ต่อปี 11,000 ล้านบาท และช่วยให้ลูกค้าประหยัดต้นทุนรวมกว่า 37,000 ล้านบาท
- Renewable Energy: จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,200 เมกะวัตต์ สร้างรายได้ต่อปี 5,600 ล้านบาท และช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าไฟได้ 1,860 ล้านบาท
- Reclaimed Water: จะมีปริมาณการบำบัดน้ำกลับมาใช้ใหม่ 24 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างรายได้ต่อปี 1,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งพันธสัญญาระยะยาวที่ชัดเจน ทั้งการมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593, การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ให้ได้ 100% และการหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ 100% ภายในปี 2593 เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าแนวทางสีเขียวคือแกนหลักในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจของ WHA Group อย่างแท้จริง
เทคโนโลยีและดิจิทัล: กลไกสำคัญสู่อนาคต
WHA Group เดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) อย่างเต็มรูปแบบ โดยมี WHA Digital เป็นกลไกสำคัญในการนำเทคโนโลยีมายกระดับประสิทธิภาพและสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ
นันท์ศิลป์ เจนวารินทร์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำกัด ได้อธิบายถึงกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน คือ 1. การเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจในเครือ (Empower WHA Group) ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การใช้โดรนตรวจสอบหลังคาคลังสินค้าเพื่อลดปัญหา (Pain Point) และการนำ AI มาพยากรณ์ประสิทธิภาพของระบบผลิตน้ำ (RO Performance Forecast) และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Forecasting)
2. การทำงานร่วมกับลูกค้า (Collaborate with Customers) ผ่าน WHA Super App ซึ่งกำลังพัฒนาสู่เฟส 2 จากการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าโดยตรง และ 3. การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ (Explore New S-Curve)
หนึ่งในโครงการสำคัญคือแพลตฟอร์ม “CO2 Zero” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการจัดทำบัญชีคาร์บอน (Carbon Accounting) โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องการส่งเสริมให้ลูกค้าเริ่มต้นเส้นทางสู่ความยั่งยืน โดยหลังจากเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม มีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 15 ราย
เจาะลึก “Mobilix” ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
ชัยรินทร์ เนติพีระพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมบิลิกซ์ จำกัด กล่าวว่า Mobilix ถูกวางตำแหน่งให้เป็นระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) แบบครบวงจรสำหรับภาคโลจิสติกส์โดยเฉพาะ ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
- บริการให้เช่ารถ EV เชิงพาณิชย์ เพื่อลดความกังวลของลูกค้าในการลงทุนระยะยาว โดยมีรถให้บริการหลากหลาย ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ 4 ล้อ, 6 ล้อ หัวลาก รถบัส ไปจนถึงรถที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งลูกค้ารายสำคัญคือ Flash Express ที่นำรถยนต์ 4 ล้อขนาดเล็ก รุ่น Mobilix E10 ไปใช้ทดแทนมอเตอร์ไซค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
- โซลูชันสถานีชาร์จ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ Private Charging ที่ Mobilix ลงทุนสถานีชาร์จในพื้นที่ของลูกค้า และ Public Charging ซึ่งติดตั้งสถานีชาร์จความเร็วสูง Super Fast Charge (360 กิโลวัตต์) ในจุดยุทธศาสตร์ของ WHA Group เช่น สวนโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถชาร์จรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที
- ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม พัฒนาร่วมกับ WHA Digital เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ตั้งแต่พนักงานขับรถ, ผู้จัดการกลุ่มรถ ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง สำหรับการวางแผนเส้นทาง, ค้นหาสถานีชาร์จ และวิเคราะห์ข้อมูล
ในช่วงครึ่งปีแรก Mobilix มีรถในระบบแล้ว 342 คัน และตั้งเป้า 539 คันภายในสิ้นปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้สร้างเครือข่ายสถานีชาร์จผ่านความร่วมมือแบบ Roaming กับพันธมิตรรายใหญ่อย่าง Rever Automotive และ Sharge ซึ่งจะทำให้เครือข่ายขยายตัวครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ
โดยรวมแล้ว WHA Group ยังคงมั่นใจในเป้าหมายทางการเงินสำหรับปี 2568 โดยคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 35% หรือแตะระดับ 20,000 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไร EBITDA Margin ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 45% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AI ดันซินเน็คโตไม่หยุด ทุบสถิติรายได้ครึ่งปีแรก 2.28 หมื่นล้านบาท
ETDA เคาะแผนปี 69 ดัน Digital ID-AI-คุมแพลตฟอร์ม