Share on
×

Share

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับ GDP ปี 68 เป็น 1.8% ชี้ผลกระทบ ‘สงครามชิป’ คือความเสี่ยงหลัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับ GDP ปี 68 เป็น 1.8% ชี้ผลกระทบ 'สงครามชิป' คือความเสี่ยงหลัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประกาศปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 เป็น 1.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 1.5% อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในระยะสั้น ขณะที่ศูนย์วิจัยฯ ได้แสดงความกังวลต่อความเสี่ยงเชิงโครงสร้างและปัจจัยลบภายนอกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ และความเปราะบางของภาคการผลิตในประเทศ

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้มีการทบทวนประมาณการ GDP คือตัวเลขการส่งออกเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ถึง 11% โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเร่งส่งออก (Front-loading) สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปยังตลาดสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการทางภาษีจะมีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนด้วยการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ยังคงมีความล่าช้า และแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่า 7.7% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจัยที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ชิปขาดแคลนทั่วโลก

ด้าน บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ฉายภาพปัจจัยที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการประสานกันของหลายปัจจัยที่ซับซ้อน โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ปัญหาที่สะสมอยู่ปะทุขึ้น เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกคาดการณ์ว่า ภาวะล็อกดาวน์จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และความต้องการซื้อรถยนต์หดตัวลงอย่างรุนแรง จึงพร้อมใจกัน “ยกเลิกคำสั่งซื้อ” เซมิคอนดักเตอร์ล่วงหน้าจำนวนมาก

ในขณะเดียวกัน โลกได้เข้าสู่ยุค Work From Home อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรทัศน์ และอุปกรณ์เครือข่าย พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ผู้ผลิตชิปซึ่งเผชิญกับการยกเลิกคำสั่งซื้อจากฝั่งยานยนต์ จึงจำเป็นต้องโอนย้ายกำลังการผลิตทั้งหมดไปตอบสนองความต้องการของตลาดคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรงแทน

เมื่อสถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลาย และความต้องการรถยนต์ฟื้นตัวกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ อุตสาหกรรมยานยนต์จึงต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนชิปอย่างรุนแรง เนื่องจากสายการผลิตชิปที่มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนกลับมาผลิตชิปสำหรับยานยนต์ได้ทันท่วงที วิกฤติครั้งนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าชิปคือหัวใจของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งรถยนต์ทั่วไปหนึ่งคันต้องใช้ชิปราว 1,000-1,500 ตัว และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ต้องการมากถึง 3,000 ตัว

สถานการณ์ดังกล่าว ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์ของห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากชิปประมวลผลขั้นสูง (Advanced Logic Chip) ซึ่งเป็นสมองของเทคโนโลยี AI และการทหาร กว่า 90% ของโลก ถูกผลิตโดยบริษัท TSMC ในไต้หวัน ซึ่งมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ ศูนย์วิจัยฯ อ้างอิงข้อมูลที่ระบุว่า หากเกิดความขัดแย้งทางทหารในบริเวณดังกล่าว อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกหดตัวถึง -10% ซึ่งเป็นผลกระทบที่รุนแรงกว่าวิกฤติการเงินโลกปี 2008

ความท้าทายของนโยบาย Chip Sovereignty ของสหรัฐฯ

บุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า นโยบาย “Chip Sovereignty” ของสหรัฐฯ ที่มุ่งดึงฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์กลับสู่ประเทศ ต้องเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขในระยะสั้น ประการแรกคือ ห่วงโซ่อุปทานโลกมีความเชื่อมโยงและพึ่งพากันอย่างยิ่งยวด โดยแต่ละภูมิภาคมีบทบาทและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่การออกแบบและซอฟต์แวร์ (EDA) ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้นำ, การผลิตชิปขั้นสูง (Advanced Fabrication) ที่กระจุกตัวในไต้หวันและเกาหลีใต้, เครื่องจักรลิโธกราฟีชนิดพิเศษ (EUV Lithography) ซึ่งบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ผูกขาดการผลิตแต่เพียงผู้เดียว, ไปจนถึงเลนส์คุณภาพสูงจากเยอรมนีและสารเคมีเฉพาะทางจากญี่ปุ่น การสร้างระบบนิเวศทั้งหมดนี้ขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ จึงเป็นภารกิจที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

ประการที่สองคือ อุปสรรคด้านต้นทุน การสร้างโรงงานผลิตชิป (Fab) เพียงแห่งเดียวต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่าการย้ายห่วงโซ่อุปทานที่จำเป็นทั้งหมดกลับมาอาจต้องใช้เงินทุนสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ราคาชิปโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 35-65% การเพิ่มขึ้นของต้นทุนนี้จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสหรัฐฯ เองในตลาดโลก

ประการสุดท้ายคือ การขาดแคลนบุคลากรและองค์ความรู้เฉพาะทาง ความสำเร็จในการผลิตชิปไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “องค์ความรู้” (Know-how) ในการบริหารจัดการกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตราผลผลิต (Yield) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตในเอเชียสั่งสมมาเป็นเวลาหลายทศวรรษและไม่สามารถถ่ายทอดหรือสร้างขึ้นใหม่ได้โดยง่าย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเปราะบางเชิงโครงสร้าง

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย โดยชี้ว่าไทยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้านี้ ผ่านจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ การมีบทบาทในอุตสาหกรรมที่เป็นเพียง “ปลายน้ำ” (Back-end) ซึ่งเน้นการประกอบ (Assembly), การบรรจุ (Packaging) และการทดสอบ (Testing) ชิปเป็นหลัก กิจกรรมเหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มต่ำและพึ่งพาแรงงานเป็นสำคัญ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกย้ายฐานการผลิตหากปัจจัยด้านต้นทุนเปลี่ยนแปลงไป

จุดอ่อนนี้ถูกซ้ำเติมด้วยความเสี่ยงจาก มาตรา 232 ของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะใช้มาตรการทางภาษีกับเซมิคอนดักเตอร์ในอัตรา 100-300% ซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาทันที โดยศูนย์วิจัยฯ คำนวณอัตราภาษีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Effective Rate) ที่ไทยอาจต้องเผชิญจะอยู่ที่ประมาณ 26% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากกฎเกณฑ์ว่าด้วยการสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจาสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ที่สหรัฐฯ เรียกร้องในระดับ 50%

ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตของไทยเริ่มแสดงสัญญาณความเปราะบางก่อนที่ผลกระทบจากมาตรการภาษีจะปรากฏชัดเจน โดยข้อมูลชี้ว่า จำนวนโรงงานที่ปิดกิจการมีแนวโน้มสูงขึ้น สวนทางกับโรงงานเปิดใหม่ที่ลดลง ประกอบกับการเลิกจ้างในภาคการผลิตซึ่งมีตัวเลขสูงถึงเฉลี่ยกว่า 10,000 รายต่อเดือน สถานการณ์นี้บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของไทยมีข้อจำกัดในการรับมือกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และเมื่อประกอบกับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการผลิตมูลค่าเพิ่มต่ำ จึงอาจทำให้ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้ารุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรับมือความท้าทาย

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้นำเสนอแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ โดยเริ่มต้นจากการประเมินว่า การลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูง (Fab) ในประเทศมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนที่สูงเกินศักยภาพและขาดองค์ความรู้ที่จำเป็น

เมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดดังกล่าว ศูนย์วิจัยฯ จึงเสนอให้ประเทศไทยปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่โมเดล “Fabless” ซึ่งไม่ต้องมีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง แต่จะมุ่งเน้นไปที่ขั้นตอน “ต้นน้ำ” คือ การออกแบบชิป ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงสุด การปรับเปลี่ยนนี้ต้องอาศัยการผลักดันในระดับ “ภารกิจแห่งชาติ” ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

แนวทางสำคัญที่ถูกเสนอขึ้นประกอบด้วยหลายมิติที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป ประการแรกคือ การสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวย โดยภาครัฐต้องเป็นผู้นำในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและการทำงานของบุคลากรทักษะสูง ซึ่งรวมถึงการให้แรงจูงใจทางการเงินที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และเงินทุนสนับสนุนสำหรับบริษัท Start-up ด้านการออกแบบชิป ซึ่งต้องดำเนินไปพร้อมกับ การพัฒนาและดึงดูดบุคลากร ผ่านการลงทุนปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (STEM) ในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและนักออกแบบชิปชั้นนำจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานและอาศัยในประเทศไทย

นอกจากนี้ การสร้างความแข็งแกร่งจากภายในยังต้องอาศัย การส่งเสริมความต้องการภายในประเทศ (Local Demand) โดยสนับสนุนให้เกิดการใช้ชิปที่ออกแบบในประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์การแพทย์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อสร้างตลาดรองรับและลดการพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว และในระหว่างการดำเนินยุทธศาสตร์ระยะยาว ภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการประคองระยะสั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคการผลิตเดิมที่กำลังเผชิญแรงกดดัน ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME อย่างตรงจุด และการกระจายความเสี่ยงทางการค้าด้วยการหาตลาดส่งออกใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย เม็กซิโก และบราซิล

แนวทางเหล่านี้ถูกเสนอขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการรับมือกับความท้าทาย และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

หอการค้าฯ ฝาก 4 การบ้านรัฐบาลอนุทิน เร่งแก้ปัญหาปากท้อง

เศรษฐกิจและปากท้องชาวบ้าน กับรัฐบาล 4 เดือน

×

Share

ผู้เขียน