Share on
×

Share

โครงการไฟฟ้าสีเขียว ปลุกชีพธุรกิจโซลาร์ไทย

เอ-เมส มัลติสโตร์ โดย บูติคนิวซิตี้ เดินหน้าเปิดตัวโครงการ “A’MAZE GREEN SOCIETY” ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตร ในการนำผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรม 20% มาสร้างสรรค์และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อลดขยะที่เกิดจากอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ (Fabric Zero Waste Alliance) และ ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เป็นอุตสาหกรรมที่มุ่งลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน (Green Industry )ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจโลกที่ประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) นางประวรา เอครพานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บูติคนิวซิตี้ นอกจากจะมุ่งเน้นการผลิตเครื่องแต่งกายที่สวยงามและมีความคงทนแล้ว เรายังมีแนวคิดในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยสนับสนุนให้ใช้สิ่งของหรือทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของทุกอุตสาหกรรมและยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเฉพาะการนำ “ขยะ” ที่เหลือจากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในระดับโลก ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง จึงเป็นที่มาของโครงการ A’MAZE green society by BTNC: Create your own happiness ภายใต้ค่านิยมองค์กร ความสุขสร้างได้ด้วยตัวเอง พร้อมแบ่งปันความสุขให้ลูกค้า เพื่อนร่วมงานและสังคม” โดยมีเป้าหมายในการร่วมมือกับพันธมิตร และคู่ค้า ในการร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Industry ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศร่วมพันธกิจโลก ภายหลังการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564 หรือ COP26 ว่าประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 โดยเราพบว่า ในกระบวนการผลิตเสื้อผ้านั้น จะได้ชิ้นงานหรือสินค้าประมาณ 80% ที่เหลืออีก 20% จะเป็นผ้าส่วนเกินที่เหลือจากการผลิต ทำให้เรากลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรกับผ้าส่วนเกินเหล่านี้ ที่จะไม่ให้เหลือเป็นขยะอุตสาหกรรม หรือ Fabric zero Waste alliance เราจึงมองหาคู่คิด ที่จะมาช่วยทำการ upcycle หรือนำผ้าส่วนเกินมาพัฒนาให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และ recycle คือการนำผ้าส่วนเกินเหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก จึงได้ร่วมมือกับแบรนด์ “ลฤก” เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ “ระลึกรักษ์” และ เดอะ แพคเกจจิ้ง ที่ช่วยต่อยอดผ้าส่วนเกินให้กลายเป็น Mimi (มีมี่) กระเป๋ารักษ์โลก “เรานำแบบดอกไม้วางลงไปตรงช่องว่างของแพทเทิร์นผ้าที่จะตัดเสื้อ เพื่อทำให้เหลือผ้าส่วนเกินให้น้อยที่สุด โดยดอกไม้ที่ได้หรือคิดเป็น 15% ของผ้าส่วนเกิน มาให้แบรนด์ “ลฤก” นำมาใช้ตกแต่งเป็นดอกไม้ประดับบนพวงหรีดเสื่อ ส่วนที่เหลืออีก 5% เราส่งไปให้ เดอะแพคเกจจิ้ง นำไปผ่านขบวนการ Recycle โดยนำไปผสมทดแทนวัตถุดิบในการผลิต เพื่อนำมาผลิตเป็นกระเป๋าMimi (มีมี่)” นางประวรา เอครพานิช กล่าวเสริม นางสาวนนทิกานต์ อัศรัสกร นักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “ลฤก” เจ้าของไอเดียพวงหรีดเสื่อ กล่าวว่า “ลฤก” เป็นแบรนด์พวงหรีดที่มุ่งเน้นในเรื่องการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและสังคม เราดำเนินธุรกิจโดยวางแนวทางการลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero waste) พวงหรีดลฤก ประกอบด้วย เสื่อ 1 ผืน และอาสนะ 1 ชิ้น ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และเป็นพวงหรีดที่วัดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ การร่วมกับ บูติคนิวซิตี้ ในการผลิตดอกไม้ผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรม จึงเป็นที่มาของ “ระลึกรักษ์” เพื่อนำมาใช้ประดับตกแต่งพวงหรีด ซึ่งนอกจากให้ความสวยงามและเกิดคุณค่าทางจิตใจแล้ว ยังเป็นการนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำ ที่สำคัญยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะปลายทางที่นำไปสู่การกำจัดอีกด้วย นายภุชชงค์ วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะแพคเกจจิ้ง จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมผลักดันขยะเหลือใช้จากกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) เพื่อเป็นการหยุดยั้งปัญหาที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง แทนการกำจัดปัญหาขยะที่ปลายทาง โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ดังนั้นการนำเศษพลาสติกที่เหลือจากกระบวนการผลิตและไม่มีสิ่งปนเปื้อน กลับมาใช้ซ้ำภายในโรงงาน (Recycle) ในรูปแบบของการนำกลับมาใช้ซ้ำทั้งหมดหรือผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ในอัตราส่วนต่างๆ ส่งผลให้ไม่มีขยะเหลือเป็นของเสียในอุตสาหกรรม (Reduce) สำหรับความร่วมมือกับ บูติคนิวซิตี้ โดยการนำผ้าโพลีเอสเตอร์จากการผลิตเสื้อผ้า ซึ่งเป็นผ้าส่วนเกินมาทำการรีไซเคิล โดยใช้ผสมทดแทนวัตถุดิบในการผลิตบางส่วน และพบว่าสามารถทดแทนได้ส่วนหนึ่ง โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกมา ยังอยู่ในคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดไว้ จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการทอเป็นแผ่นพลาสติกและนำมาตัดเย็บ จึงเป็นที่มาของกระเป๋าเอนกประสงค์ Mimi ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ทั้งนี้การนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หรือการรีไซเคิล นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกแล้ว ยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และทำให้พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วไม่เป็นขยะอีกต่อไป จึงเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม นางประวรา เอครพานิช กล่าวเสริมตอนท้ายว่า “เรามีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนโครงการ AMAZE Green Society ให้เป็นโครงการระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยเรายินดีอย่างยิ่งหากมีหน่วยงานหรือองค์กรใดที่ต้องการร่วมเป็นพันธมิตรคู่คิดที่จะเดินหน้าลดปริมาณขยะสิ่งทอไปด้วยกัน เราเชื่อว่า เมื่อเรามีเพื่อนมากขึ้น และสามารถขยาย Fabric Zero Waste Alliance เป็นวงกว้างขึ้น พวกเราก็จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันพันธกิจของประเทศไทยในการเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ตามเป้าหมาย” จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงานของประเทศในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 247.7 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 66.5 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 6.7% และตามกรอบเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหมุนเวียน ปีพ.ศ. 2573 ของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะต้องลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 30 ล้านตันในอีก 7 ปีข้างหน้า

ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาว โดยคาดว่า ภายในปี 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนกับสินค้าในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่นำเข้าจากผู้ผลิตนอกสหภาพยุโรป เช่น เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์

อีกทั้ง ภาครัฐของไทยก็มีแผนที่จะเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคเอกชนในอนาคตซึ่งจะกดดันให้ภาคเอกชนต้องปรับตัว และหันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนของสินค้าในอนาคตมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 500 tCO2/เมกะวัตต์/ปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 62,500 ต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวจากผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในโครงการดังกล่าว เพื่อรับรองความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังานสะอาดของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า

สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก เบื้องต้นคาดว่าจะมีสัญญาซื้อไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 25 ปี และรับซื้อไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์รวม 3,362 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 1) การรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 2,368 เมกะวัตต์ ในราคารับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 2.17 บาท/หน่วยไฟฟ้า  และ 2) ส่วนที่เหลืออีก 994 เมกะวัตต์ จะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) ในราคารับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 2.83 บาท/หน่วยไฟฟ้า โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2567-73 นอกจากนั้น โครงการนี้มีแนวโน้มจะทำสัญญาขายไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่เป็นระยะเวลา 10-25 ปี พร้อมทั้ง ให้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) ซึ่งสามารถใช้อ้างสิทธิ์การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน กับผู้ประกอบการที่ซื้อไฟฟ้าจากโครงการนี้ อีกด้วย

โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่กล่าวมาในข้างต้นย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อีกทั้ง ยังช่วยให้ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังยุโรปลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งจะวิเคราะห์ในบทความนี้

I. โครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว ช่วยหนุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้เติบโตมากน้อยเพียงใด และคุ้มค่าในการลงทุนหรือไม่ ?  

การที่ภาครัฐได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวจำนวน 3,362 เมกะวัตต์ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในระยะข้างหน้าราว 1.3 แสนล้านบาท และทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าในโครงการนี้ราว 1.37 หมื่นล้านบาท/ปี  

นโยบายดังกล่าวคาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ราว 1.28 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 1) โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ราว 7.48 หมื่นล้านบาท และ 2) โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานราว 5.3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น สามารถเพิ่มรายได้ทั้งหมดให้กับธุรกิจดังกล่าวราว 3.42 แสนล้านบาท ตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้าในโครงการไฟฟ้าสีเขียวที่ 25 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 38% ของมูลค่าตลาดโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในปี 2564 โดยแบ่งเป็น 1)รายได้จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ประมาณ 2.21 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 8.83 พันล้านบาท/ปี และ 2) รายได้จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานราว 1.21 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 4.84 พันล้านบาท/ปี  เมื่อโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในโครงการดังกล่าวทั้งหมดสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ตามปริมาณและระยะเวลาที่กำหนด  

เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาคืนทุนของโครงการรับไฟฟ้าสีเขียว พบว่า กลุ่มโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ติดตั้งร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ( BESS) จะใช้เวลาคืนทุน 9.3 ปี และ 9.8 ปี ตามลำดับ เมื่อเทียบกับอายุสัญญาการขายไฟในโครงการดังกล่าวที่ 25 ปี โดยโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทั้งสองประเภทมีเงินลงทุนราว 32 ล้านบาท/เมกะวัตต์ และ 53 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ตามลำดับ และจะมีรายได้จากจากการขายไฟแก่ภาครัฐประมาณ 3.7 ล้านบาท/ปี/เมกะวัตต์ และ 4.9 ล้านบาท/ปี/เมกะวัตต์  ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี คาดว่าโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ติดตั้งร่วมกับ BESS ในโครงการนี้มีอัตราผลตอบแทน (IRR) อยู่ราว 9.1% ต่อปี และ 7.4% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯเคยลงทุน ซึ่งอยู่ประมาณ 10-15% ต่อปี เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทั้งสองประเภทในโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวอยู่ที่ 2.17 บาท/หน่วยไฟฟ้า และ 2.83 บาท/หน่วยไฟฟ้า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2559-66 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.97-5.66 บาท/หน่วยไฟฟ้า

การขยายตัวของธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ผ่านโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนล่าสุดย่อมส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เพราะผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มีแนวโน้มใช้บริการของอุตสาหกรรมดังกล่าวมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะ 7 ปี ข้างหน้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว Krungthai COMPASS จึงจะวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่อุตสาหกรรมของไทยที่จะได้รับในหัวข้อถัดไป

II. อุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของไทย ได้รับประโยชน์จากโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวมากน้อยเพียงใด?

ก่อนที่จะวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่แต่ละธุรกิจในอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์จะได้รับ จะมาอธิบายเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของไทย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

สำหรับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่

1) กลุ่มขั้นต้นน้ำ เป็นกลุ่มธุรกิจแปรรูปวัตถุดิบขั้นต้น เช่น ผู้ผลิตซิลิกอนเกรดเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน ออสเตรเลีย และบราซิล

2) กลุ่มขั้นกลางน้ำ เป็นธุรกิจผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และอุปกรณ์เชื่อมต่อ เช่น Solar Inverter (เครื่องแปลงไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้เข้ากับระบบสายส่งไฟฟ้า) โดยผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มักนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปจากจีน และออสเตรเลีย เช่น ซิลิกอนเกรดเซลล์แสงอาทิตย์ และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ยังไม่ประกอบ มาผลิตต่อ เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯเป็นหลัก

3) กลุ่มขั้นปลายน้ำ เป็นธุรกิจรับจ้างติดตั้งแผงและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าสินค้าจากจีน เช่น แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และ Solar Inverter มาให้บริการติดตั้ง โดยลูกค้าหลักของกลุ่มนี้ คือ โรงไฟฟ้า
แสงอาทิตย์ และโรงงานอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์มีจำนวน 63 ราย โดยส่วนมากกระจุกตัวในธุรกิจรับจ้างติดตั้งและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ โดยมีสัดส่วนถึง 54% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งกลุ่มนี้ ส่วนที่เหลืออีก 46% พบว่ามีผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์เชื่อมต่อ และผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เป็นต้น

เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดของ Supply Chain ของอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์  Krungthai COMPASS มองว่าธุรกิจที่จะเติบโตโดดเด่นจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าเขียวในระยะข้างหน้า มี 4 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มรับจ้างติดตั้งและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ มีทิศทางเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ตามความต้องการใช้บริการติดตั้งและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ของผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลในโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กลุ่มนี้ประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้จำนวน 9.2 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงปี 2566-73 และ อีก 5.3 พันล้านบาท จะรับรู้ หลังจากนั้นอีก 15 ปี ตามอายุการใช้งานของ Solar inverter

    รายได้ทั้งหมดนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1)รายได้จากขายแผงเซลล์แสงอาทิตย์ราว 6.7 หมื่นล้านบาท 2)รายได้จากขาย Solar inverter ราว 1.1 หมื่นล้านบาท และ 3)รายได้จากค่าบริการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดเฉลี่ยต่อปีคิดเป็น 113% ของรายได้ทั้งหมดของธุรกิจนี้ในปี 2565
  2. กลุ่มผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อาจได้รับอานิสงส์จากการขายแผงเซลล์แสงอาทิตย์สูงสุด 5.5 หมื่นล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบการดังกล่าวส่งออกไปยังต่างประเทศเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ดี หากผู้ประกอบการในการกลุ่มนี้หันมาการขายสินค้าในประเทศมากขึ้น จะมีรายได้เพิ่มเติมจากการขายแผงเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับผู้ให้บริการติดตั้งและก่อสร้างแก่โรงไฟฟ้าในโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ในช่วงปี 2566-73 โดยรายได้ทั้งหมดเฉลี่ยต่อปีคิดเป็น 10% ของรายได้รวมของธุรกิจนี้ในปี 2565
  3. กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เชื่อมต่อ เช่น  Solar inverter คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเติมจากการขาย Solar inverter ให้กับผู้ให้บริการติดตั้งและก่อสร้างแก่โรงไฟฟ้าในโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวราว 8.7 พันล้านบาท

    รายได้จำนวน 4.35 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงปี 2566-73 และ อีก 4.35 พันล้านบาท จะรับรู้ หลังจากนั้นอีก 15 ปี ตามอายุการใช้งานโดยรายได้ทั้งหมดเฉลี่ยต่อปีคิดเป็น 11% ของรายได้รวมของธุรกิจนี้ในปี 2565
  4. กลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ลิเธียม คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการขายแบตเตอรี่ลิเธียมให้กับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ชนะการประมูลในโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวราว 2.2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันกำลังการผลิตเกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ลิเธียมของไทยผลิตสินค้า เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

    อย่างไรก็ดี อาจมีโอกาสเติบโตดีจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวในอนาคต เพราะเริ่มเห็นผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มีแผนที่จะผลิตแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) ป้อนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เช่น บจก. นูออโว พลัส ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มปตท.ได้จัดตั้ง บจก. เอ็นวี โกชั่น ร่วมกับ Gotion Singapore Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และ BESS ชั้นนำของจีน เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้าและประกอบชุดแบตเตอรี่สำหรับ BESS และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

    คาดว่าเดินสายผลิตสายผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมภายในปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 กิกะวัตต์/ชั่วโมง/ปี และจะขยายกำลังการผลิตเป็น 2 กิกะวัตต์/ชั่วโมง/ปี ภายในปี 2568 จึงคาดว่าได้รับอานิสงส์การลงทุน BESS ของผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลในโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว โดยงบลงทุนดังกล่าวจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ในช่วงปี 2566-73 และ อีก 1.1 หมื่นล้านบาท จะรับรู้ หลังจากนั้นอีก 15 ปี ตามอายุการใช้งานของ BESS ซึ่งรายได้ทั้งหมดโดยเฉลี่ยต่อปีคิดเป็น 57% ของรายได้ทั้งหมดของธุรกิจนี้ในปี 2565

โครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว นอกเหนือจากจะช่วยหนุนให้อุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังช่วยให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียมที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนในระยะยาว หลังคาดว่า ภายในปี 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอน เนื่องจากโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถลด Carbon footprint (ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรของสินค้า) ให้ผู้ประกอบการไปใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่าจะมีประโยชน์ต่อการลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนของสินค้าเหล่านั้นในระยะข้างหน้า โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะวิเคราะห์ในหัวข้อถัดไป  

III. โครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวช่วยภาคเอกชนของไทยมากน้อยเพียงใด?

ก่อนที่จะวิเคราะห์ผลประโยชน์จากโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวในแง่ของการประหยัดค่าธรรมเนียมคาร์บอนของสินค้าที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) จะมาอธิบายเกี่ยวกับมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าคาร์บอนของ EU(CBAM) ซึ่งรายละเอียดเบื้องต้น มีดังนี้

มาตรการ CBAM คือ กลไกภาษีนำเข้าคาร์บอนของ EU ซึ่งบังคับให้ผู้ส่งออกนอก EU ต้องรายงานข้อมูล และจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CBAM Certification) ก่อนที่จะนำสินค้ามาขายใน EU

ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2566 ผู้ส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะแรก ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ ไฟฟ้า และอะลูมิเนียม ต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่จะขายใน EU โดยในระยะแรกยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน  ก่อนที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนในปี 2569 ซึ่งจะเชื่อมโยงกับราคา EU Emission Trading System (EU ETS) โดย Boston Consulting Group (BCG) คาดว่าค่าธรรมเนียมคาร์บอนจะอยู่ประมาณ EUR 75 /tCO2 (2,800 บาท/tCO2 ) ในปี 2569

เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะแรกของมาตรการ CBAM ไปยัง EU ของไทย ในปี 2565 พบว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว คือ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งมีมูลค่าและปริมาณการส่งออกรวมอยู่ราว 4.9 พันล้านบาท และ 45,000 ตัน ตามลำดับ และอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ซึ่งมีมูลค่าและปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท และ 18,530 ตัน ตามลำดับ

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ผู้ส่งออกเหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียมไปยัง EU ของไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตราการ CBAM ต้องเสียค่าธรรมเนียมคาร์บอนทั้งหมดประมาณ 194 ล้านบาท/ปี และ 244 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ หาก EU จัดเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนกับผู้ส่งออกดังกล่าว ตามการคาดการณ์ของ BCG ในปี 2569 ซึ่งการประเมินในครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าปริมาณ Carbon footprint ของเหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม เท่ากับปี 2565 ซึ่งอยู่ประมาณ 69,850 tCO2 และ 87,810 tCO2  ตามลำดับ

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทุก 1 เมกะวัตต์ที่ผู้ประกอบการที่ส่งออกเหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียมไปยัง EU ซื้อไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว จะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมคาร์บอนราว 0.7% และ 0.6% ของค่าธรรมเนียมทั้งหมดของแต่ละสินค้า ตามลำดับ หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.4 ล้านบาท/ปี เนื่องจากผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถใช้ไฟฟ้าจากโครงการนี้ เพื่อผลิตสินค้าที่ส่งออกไป EU ซึ่งจะช่วยลด Carbon footprint ของสินค้าเหล่านั้น จึงมีประโยชน์ต่อการลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนในระยะยาว โดยประเมินในครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์สามารถลด Carbon footprint ราว 500 tCO2/เมกะวัตต์/ปี

โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนล่าสุดของภาครัฐที่กล่าวมาข้างต้นมีแนวโน้มจะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมคาร์บอนให้กับผู้ประกอบการที่ส่งออกไปยัง EU ในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะแรก และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มาตรการ CBAM จะขยายการครอบคลุมเพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมัน และโพลีเมอร์ เป็นต้น จึงส่งผลให้ผู้ส่งออกดังกล่าวมีความสามารถในการแข่งขันในตลาด EU มากขึ้นในระยะยาว

การที่ภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานอาทิตย์ผ่านโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวสามารถเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์สูงถึง 3.42 แสนล้านบาท ตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้า 25 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1.37 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง ช่วยหนุนให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างกระโดด เช่นเดียวกัน โดยธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นจะเป็นธุรกิจรับจ้างติดตั้งและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กลุ่มนี้ประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น โครงการนี้ยังช่วยให้ภาคเอกชนที่ส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป (EU) สามารถลดค่าธรรมเนียมคาร์บอนในระยะยาว หลัง EU จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนภายในปี 2569 เพราะผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าที่ส่งออกไปยัง EU ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมคาร์บอนของสินค้าเหล่านั้น อย่างไรก็ดี โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในโครงการนี้มีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมา 

วิเคราะห์โดย พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ Krungthai COMPASS 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เจาะปัญหาแก้ไฟแพงระยะสั้น สู่การผลักดันปรับโครงสร้างค่าไฟระยะยาว โดยการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน

‘COOL summer fest 2023’ จุดเริ่มต้นการจัดมิวสิคเฟสฯ คาร์บอนต่ำ

×

Share

ผู้เขียน