Share on
×

Share

วิกฤติทางการเมือง: ‘เนปาล-อินโดฯ’ บทเรียนที่ไม่อาจมองข้าม

วิกฤติทางการเมือง: 'เนปาล-อินโดฯ' บทเรียนที่ไม่อาจมองข้าม

เดือนกันยายนนี้เป็นเดือนอาถรรพ์ เกิดวิกฤติทางการเมืองในหลาย ๆ ประเทศ ประเทศไทย รัฐบาลเพื่อไทยต้องเป็นรัฐบาลรักษาการหลัง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำจิตวิญญาณพรรคต้องเข้าคุกจากกรณีชั้น 14 ข้ามไป ที่สหรัฐ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวสายอนุรักษ์นิยมคนสนิทประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกลอบสังหารระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยยูทาห์ ฝรั่งเศสมีผู้ประท้วงออกมาปิดถนน ก่อความวุ่นวายทั่วประเทศ เพื่อประท้วงชนชั้นการเมืองและแผนลดงบประมาณ

เดือดที่สุดคือเนปาลและอินโดนีเซีย แผ่นดินลุกเป็นไฟ เหตุการณ์ที่เนปาลมีการก่อจลาจล มีการเผาทำลายอาคารรัฐสภาฯ ศาลสูง ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักของอดีตนายกฯ และรัฐมนตรี สถานที่ราชการอื่น ๆ รวมถึงโรงแรมหรูกลางเมือง ความรุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากรัฐบาลประกาศแบนโซเชียลมีเดีย ในเมืองสำคัญต่างๆ ก็เต็มไปด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนุ่มสาว Gen Z

ต้องเข้าใจว่า อินเทอร์เน็ตในเนปาลไม่ใช่เพียงสิ่งบันเทิงของคนรุ่นใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นห้องเรียนที่จู่ ๆ ก็หายไป เป็นเครื่องมือในการทำงานฟรีแลนซ์ที่ทำผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลก็ถูกตัดขาด และยังเป็นอะไรอีกหลายอย่าง

การแบนโซเชียลมีเดียจึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายประกอบกับความไม่พอใจในการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ระบบเศรษฐกิจที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้พวกเขามีอนาคตมั่นคง นักการเมืองทุจริตคอร์รัปชัน มีการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกซึ่งฝังรากลึกมานาน คนรุ่นใหม่จึงไม่ศรัทธาต่อการเมือง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สั่งสมมายาวนาน

แต่ลึกกว่านั้นคือ ความไม่พอใจในความเหลื่อมล้ำทางสังคม บรรดาทายาทตระกูลการเมืองต่างโชว์ความหรูหราผ่านโซเชียลมีเดีย ชนชั้นนำทางการเมืองถูกมองว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน ขณะที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ของประเทศกลับไม่มีแม้แต่โอกาสหางานที่มั่นคงทำ ค่าจ้างแรงงานในประเทศต่ำ ปัญหาการว่างงานเป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญในการก่อหวอดประท้วง คนรุ่นใหม่มองว่าระบบเศรษฐกิจและรัฐบาลล้มเหลว คนหนุ่มสาวเนปาลกว่าร้อยละ 40 ต้องออกไปหางานทำต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน สังคมอยู่ได้ด้วยเงินโอนจากแรงงานต่างประเทศ สะท้อนว่าเศรษฐกิจเนปาลไม่สามารถรองรับพลังคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นความกดดันที่สะสมมานานและในที่สุดก็ระเบิดออกมา

ในห้วงเวลาเดียวกันม็อบที่อินโดฯ ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันเมื่อผู้ประท้วงบุกเข้าไปรื้อและปล้นบ้านของศรี มูลยานี อินทราวาดี รัฐมนตรีคลังที่เข้มงวดวินัยการคลัง แม้ต่อมาจะถูกประธานาธิบดี ปราโบโว ซูบิอันโต ปลดจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งม็อบได้ การประท้วงที่อินโดฯ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะในสมัยของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด อินโดนีเซียถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจค่อนข้างเร็ว จีดีพีโตอันดับสองของอาเซียนเป็นรองแค่เวียดนามเท่านั้น

รัฐบาลโจโก วิโดโด ลงทุนมหาศาลในการยกระดับสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น สนามบิน ท่าเรือ รวมไปถึงรถไฟความเร็วสูง ภาคเอกชนก็รุ่งเรือง การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพราะเห็นโอกาสที่ตลาดใหญ่มีขนาดใหญ่จากประชากรมากกว่า 200 ล้านคน แต่ข้อบกพร่องในโครงสร้างเศรษฐกิจเริ่มปรากฏชัด การชะลอตัวของเศรษฐกิจทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำชัดเจนมากขึ้น และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีปราโบโว ผลักดันนโยบายประชานิยมแต่ไม่มีเงินต้องตัดงบประมาณหลายส่วนที่มีผลทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อน ดูๆ แล้วคล้ายประเทศไทยที่แจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาททั้งที่ไม่มีเงิน

ย้อนกลับไปในปี 1990 เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเคยโตปีละ 8% เช่นเดียวกันกับไทย เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศช่วงนั้นโตจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานค่าแรงต่ำ แต่ระยะหลังชะลอตัวลงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ภาคการผลิตของอินโดฯ ตกต่ำเพราะแข่งกับสินค้านำเข้าจีนไม่ได้ ชาวอินโดฯ ต้องทำมาหากินในอุตสาหกรรมบริการมากขึ้น จะเห็นได้จากการเติบโตของงานภาคบริการ ที่มีผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดจากโควิด-19 คลี่คลายลง อินโดนีเซียก็ยังเป็นประเทศหนึ่งที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว จีดีพี 5% โดยเฉลี่ย แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำกลับรุนแรงขึ้น เศรษฐกิจถูกครอบงำโดยทุนผูกขาด ขณะที่ค่าครองชีพและราคาที่อยู่อาศัยสูงจนคนรุ่นใหม่รู้สึกว่า “ซื้ออนาคตไม่ได้” พวกเขามองว่านักการเมืองคือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดใช้ทรัพยากรโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม รัฐบาลฟังเสียงกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน ความไม่พอใจนี้จุดชนวนให้คนหนุ่มสาวอินโดนีเซีย Gen Z ออกมาประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ในท้องถนนในกรุงจาการ์ตาและเมืองใหญ่เต็มไปด้วย Gen Z ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธหลัก ระดมพลก่อการจลาจลและมีการรายงานสด

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในเนปาลและอินโดนีเซีย สะท้อนให้เห็นว่าความไม่พอใจของ Gen Z ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้ถูกกีดกันจากระบบเศรษฐกิจและการเมือง การเติบโตอยู่กับคนไม่กี่ตระกูล ไม่กี่กลุ่ม นักการเมืองเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันและเอื้อประโยชน์ทุนใหญ่ คนรุ่นใหม่มองว่าสิ่งเหล่านี้คือการปิดกั้นอนาคตของพวกเขา ยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธที่ทรงพลัง คนรุ่นใหม่จึงมีทั้งแรงผลักดันและเครื่องมือในการลุกขึ้นมาต่อต้านพร้อมกับคำถามต่อโครงสร้างของสังคมที่กดทับพวกเขา

บทเรียนของเนปาลและอินโดนีเซีย เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ไม่ถูกจัดการ การเมืองที่ไม่โปร่งใส และการละเลยเสียงของคนรุ่นใหม่ สำหรับประเทศไทยที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่กับคนไม่กี่ตระกูล และการเมืองที่ยังไม่สร้างความเชื่อมั่น หากไม่เรียนรู้จากกรณีของเนปาลและอินโดนีเซีย อาจจะต้องเผชิญคลื่นการประท้วงจากคนรุ่นใหม่ที่หนักหน่วงกว่าที่เคยมีมา

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทก์ที่ท้าทาย

×

Share

ผู้เขียน