Share on
×

Share

พลิกบทบาท AI การแพทย์สู่ ‘โค้ชสุขภาพ’ ป้องกันโรคเชิงรุก

พลิกบทบาท AI การแพทย์สู่โค้ชสุขภาพป้องกันโรคเชิงรุก

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังปฏิวัติวงการต่าง ๆ อย่างก้าวกระโดด วงการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญที่ AI ถูกคาดหวังให้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์การรักษาพยาบาล แต่แท้จริงแล้ว ศักยภาพสูงสุดของ AI อาจไม่ได้อยู่ที่การวินิจฉัยหรือรักษาโรคที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่อยู่ที่การเป็น “โค้ชสุขภาพส่วนบุคคล” ที่ช่วยให้มนุษย์ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้น ๆ ของคนไทยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ ราชบัณฑิตและประสาทแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ กล่าวว่า มีช่องว่างสำคัญในการดูแลสุขภาพของคนไทย ซึ่ง 75% ของผู้สูงวัยต้องเผชิญกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างน้อย 2 โรค พร้อมเสนอวิสัยทัศน์ว่า AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างนี้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย “AI ที่มีความหมาย” ซึ่งมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพสมองและร่างกายที่ยั่งยืน

หน้าต่างแห่งโอกาส 20 ปี: เมื่อโรคก่อตัวเงียบก่อนแสดงอาการ

ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า โรคทางสมองที่น่ากังวล เช่น พาร์กินสันและอัลไซเมอร์ มักใช้เวลาก่อตัวในร่างกายล่วงหน้าถึง 20 ปีก่อนที่ผู้ป่วยจะแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น เช่นเดียวกับโรคหัวใจที่ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ค่อยๆ สะสมมาเป็นเวลานับ 10 ปี

“เราพบว่าก่อนที่คนไข้จะมีอาการมาหาเรา มีอาการล่วงหน้ามาแล้ว 20 ปี” ศ. นพ.รุ่งโรจน์ กล่าว พร้อมอธิบายถึง “Three Factor Model” ที่ชี้ว่าการเกิดโรคเรื้อรังมาจากปัจจัย 3 ส่วน คือ ปัจจัยโน้มเอียง เช่น พันธุกรรมปัจจัยกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ และปัจจัยส่งเสริม เช่น การนอนติดเตียง ช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนแสดงอาการนี้ ถือเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการป้องกัน

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักละเลยการดูแลสุขภาพในช่วงเวลานี้ และหันมาสนใจเมื่อสายเกินไป คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “AI ทำอะไรได้บ้าง” แต่คือ “ทำไมเราถึงไม่ลงมือป้องกัน” ซึ่ง AI สามารถเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

AI ในปัจจุบัน: ความแม่นยำระดับผู้เชี่ยวชาญในการคัดกรองโรค

ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI ด้านการแพทย์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical Imaging) ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่มีความแม่นยำเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการใช้ AI ตรวจหาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ซึ่งผลการวิจัยของนักวิจัยไทยพบว่า AI สามารถแยกแยะภาพจอประสาทตาที่ปกติและผิดปกติได้อย่างแม่นยำ

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าภาคภูมิใจของไทยคือแอปพลิเคชัน “Check PD” ซึ่งเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ ที่ใช้ AI ช่วยคัดกรองความเสี่ยงโรคพาร์กินสันผ่านการทดสอบง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเองใน 15 นาที เช่น การขยับนิ้วมือสลับไปมา ซึ่ง AI ไม่ได้นับเพียงจำนวนครั้ง แต่สามารถวิเคราะห์พารามิเตอร์ที่ซับซ้อน เช่น ความสม่ำเสมอ หรือการหยุดชะงัก ทำให้มีความแม่นยำในการค้นหาผู้ป่วยระยะเริ่มต้นสูงถึง 91%

ก้าวต่อไป: AI โค้ชส่วนตัวสู่การแพทย์เชิงป้องกัน

แม้ AI จะเก่งกาจในการตรวจหาโรค แต่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคตั้งแต่แรก ศ. นพ.รุ่งโรจน์ มองว่า AI จะต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วย” “โค้ช” และ “ผู้ร่วมงาน” ในการดูแลสุขภาพรายบุคคล เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ “Infobesity” หรือการมีข้อมูลสุขภาพท่วมท้นแต่ไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไร

“สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือเราต้องถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร” ศ.นพ.รุ่งโรจน์ ย้ำ พร้อมยกตัวอย่างแพลตฟอร์ม “Check Brain” ที่กำลังพัฒนาขึ้นเพื่อติดตามและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน (from dawn to dusk) โดยใช้ AI เข้ามาช่วยในเรื่องง่าย ๆ แต่สำคัญมหาศาล เช่น แจ้งเตือนให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยประเมินคุณภาพของอาหารแต่ละมื้อพร้อมให้คะแนนเพื่อสร้างแรงจูงใจ และส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สมองจะกำจัดของเสียและโปรตีนผิดปกติ

“ผมว่าการที่บอกว่า AI จะมาแทนแพทย์คงเป็นเรื่องเก่า แต่สิ่งที่สำคัญคือ AI สามารถเป็นทั้งผู้ช่วย เป็นโค้ช ช่วยเราในการทำทุกอย่างได้เร็วขึ้น”

สมองมนุษย์ต้องฉลาดพอที่จะใช้ AI พัฒนาตนเอง

สุดท้ายนี้ วิสัยทัศน์ของการใช้ AI ในทางการแพทย์ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นมนุษย์ โดยอ้างอิงถึงแนวคิดของ Charles Darwin ที่ว่าผู้ที่ปรับตัวได้คือผู้อยู่รอด ในยุค AI การปรับตัวหมายถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีและอนาคตที่ยั่งยืน

“สมองของมนุษย์มีวิวัฒนาการมา 320 ล้านปี ส่วน AI มีมาประมาณ 70 ปี ผมเชื่อว่าสมองคนเราฉลาดพอที่จะเลือกสิ่งที่จะมาประมวลผล AI ทำให้วิวัฒนาการของสมองมนุษย์ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ” ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

อนาคตของการแพทย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ AI ที่ฉลาดที่สุด แต่อยู่กับการสร้าง “AI ที่มีความหมาย” ซึ่งมองคนเป็นศูนย์กลาง และช่วยให้มนุษย์นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้ว เช่น ประโยชน์ของการนอนหลับและการออกกำลังกาย มาปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการมีสุขภาพสมองที่แข็งแรงและป้องกันโรคภัยได้ด้วยตนเอง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Cyber Subin เมื่อ ‘โค้ด AI’ เรียนรู้ ‘รหัสรำไทย’

8 เทคโนโลยีสุขภาพแห่งอนาคต กุญแจสู่อายุยืนอย่างมีคุณภาพในยุคโรคอุบัติใหม่

×

Share

ผู้เขียน