Share on
×

Share

พลิกเกม AI ไทย: ถึงเวลาสร้าง ‘ต้มยำโมเดล’ อย่าวิ่งแข่งในสนามเดิม

พลิกเกม AI ไทย: ถึงเวลาสร้าง 'ต้มยำโมเดล' อย่าวิ่งแข่งในสนามเดิม

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือเฉพาะทางสู่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกแห่งยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “เราจะใช้ AI อย่างไร” แต่คือ “เราจะสร้างอนาคตชาติท่ามกลางคลื่นแห่ง AI ได้อย่างไร” ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างเข้มข้นบนเวทีเสวนาโดย 4 ผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของวงการ

เวทีเสวนาดังกล่าวประกอบด้วย ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ดร.นนทวัฒน์ เจริญภักดี จาก Preferred Networks, Japan ผศ.ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยจาก MIT Media Lab, USA และ ผศ.ดร.เอกพล ช่วงสุวนิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ร่วมกันสะท้อนมุมมองที่แหลมคม ตั้งแต่การตั้งคำถามถึงความจำเป็นของ “ความรอบรู้ด้าน AI” ไปจนถึงการเสนอแนวคิดสุดท้าทายอย่างการสร้าง “ต้มยำโมเดล” เพื่อหาทางรอดในสมรภูมิเทคโนโลยีโลก

“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”


ถึงยุคที่ “Human Literacy” สำคัญกว่า “AI Literacy”

ประเด็นแรกที่ถูกจุดขึ้นคือ “ความรอบรู้ด้าน AI” (AI Literacy) ซึ่งเป็นวาระที่หลายฝ่ายกำลังผลักดัน ดร.ชาญวิทย์ และ ผศ. ดร.เอกพล มองในทิศทางเดียวกันว่า หัวใจสำคัญคือการใช้งานอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีวิจารณญาณ โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือ ขณะที่ ดร.นนทวัฒน์ เปรียบเทียบว่าเหมือน “Financial Literacy” ที่ต้องรู้คุณรู้โทษ เหมือนรู้ว่าไม่ควรเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟ

แต่ ผศ.ดร.พัทน์ ได้เสนอแง่มุมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่า “AI Literacy ไม่สำคัญ” เขาแย้งว่าในที่สุดแล้ว เทคโนโลยีที่ดีควรจะหายไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างไร้รอยต่อ เหมือนที่เราไม่ต้องมี “Electricity Literacy” เพื่อเปิดไฟ หรือ “iPhone Literacy” เพื่อใช้โทรศัพท์

“สิ่งที่เราต้องการมากกว่าคือ Human Literacy ทำยังไงเราจะเป็นมนุษย์ที่ดีได้” ผศ. ดร.พัทน์ กล่าว “AI จะไม่ใช่เทคโนโลยีสุดท้ายที่เราสร้าง ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ คือสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของ DNA มนุษย์”

มุมมองนี้ชี้ว่า การมุ่งเน้นแค่การใช้เครื่องมือเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว แต่การสร้างทักษะความเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง เช่น การคิดเชิงวิพากษ์, การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้, และการเข้าใจตนเอง คือสิ่งที่ยั่งยืนและจะทำให้มนุษย์อยู่รอดได้ในทุกยุคของเทคโนโลยี

ทางรอดชาติ: วิ่งแข่งในสนามเดิมหรือสร้าง “ต้มยำโมเดล” ?

ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย
ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย

ประเด็นร้อนถัดมาคือการสร้าง Foundation Model สัญชาติไทย ซึ่งเป็นความฝันของหลาย ๆ คน ดร.ชาญวิทย์ ชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงว่า ปัจจุบันไทยยังอยู่ในระดับการนำโมเดล Open Source มา “Post-training” ซึ่งอาจเพียงพอสำหรับธุรกิจ แต่ยังห่างไกลจากการสร้างใหม่จากศูนย์ที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและมีความเสี่ยงสูง

ผศ.ดร.เอกพล เสริมว่า การรวมกลุ่มกับพันธมิตรในอาเซียนเพื่อสร้าง “โมเดลอาเซียน” เป็นทางออกที่สมเหตุสมผลกว่า และยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี (Sovereignty) ในมิติภูมิรัฐศาสตร์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.พัทน์ ได้เสนอแนวคิดที่พลิกเกมโดยสิ้นเชิง “การไปวิ่งในแทร็กที่มันมีอยู่แล้ว ยังไงก็แพ้ เพราะคนอื่นทำไปแล้ว เราต้องหาทางวิ่งใหม่” เขากล่าว พร้อมเสนอว่าแทนที่จะพยายามสร้าง Language Model ไปแข่งกับยักษ์ใหญ่ ไทยควรหันมาสร้างโมเดลในสิ่งที่เป็นจุดแข็งและไม่มีใครทำได้เหมือน

“ถ้าเขาทำ Language Model เราอาจจะทำ Human Model นาฏศิลป์โมเดล หรือแม้กระทั่ง ‘ต้มยำโมเดล’ ก็ได้ เราจะสร้าง AI ที่ทำนายการผลิตวัตถุดิบอาหารได้อย่างไร ไม่มีใครมีสูตรอาหารเท่ากับคนไทย นี่คือการเปิดลู่วิ่งใหม่ที่คนอื่นตามไม่ทัน” ผศ. ดร.พัทน์ กล่าว

แนวคิดนี้คือการเปลี่ยนจากการแข่งขันด้วยขนาดและเงินทุน ไปสู่การแข่งขันด้วยความคิดสร้างสรรค์และองค์ความรู้เฉพาะทางที่ไทยมีอยู่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

เผชิญหน้า AGI: ไม่น่ากลัวเท่า “ภาวะโง่เขลาของมนุษย์”

ผศ.ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยจาก MIT Media Lab
ผศ.ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยจาก MIT Media Lab

เมื่อการสนทนาขยับไปสู่ยุคของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือ AI ที่มีความสามารถทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมาถึงราวปี 2030 มุมมองของวิทยากรกลับไม่ได้มุ่งไปที่ความน่ากลัวของเทคโนโลยี

“ผมไม่กลัว Artificial General Intelligence เท่ากับ Artificial Human Stupidity ประเด็นที่น่ากลัวคือ ถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้มนุษย์โง่ลง เราก็จะใช้เทคโนโลยีที่ฉลาดสุด ๆ ไปทำอะไรโง่ ๆ และจะเกิดปัญหาเต็มไปหมด” ผศ.ดร.พัทน์ กล่าว

สอดคล้องกับ ผศ.ดร.เอกพล ที่มองว่าเมื่อ AGI เข้ามาแทนที่ทักษะทางเทคนิค “Soft Skill และ Human Touch จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น” และโจทย์ใหญ่ของสังคมคือ “เราจะหาความหมายของชีวิตได้อย่างไร เมื่อ AI เข้ามาแทนที่งานซึ่งเคยเป็นแหล่งสร้างคุณค่าและความภูมิใจ”

ด้าน ดร.ชาญวิทย์ มองว่านี่คือโอกาสทางธุรกิจมหาศาล แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือช่องว่างระหว่างคนที่ปรับตัวทันกับคนที่ไม่ทัน ซึ่งจะขยายความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ข้อเสนอถึงอนาคต: นโยบายที่ก้าวข้ามรัฐบาลและแก้ปัญหาที่รากฐาน

ในช่วงท้ายของการเสวนา ประเด็นถูกนำกลับมาสู่นโยบายระดับชาติ การเปลี่ยนแปลงนโยบายตามรัฐบาล ทำให้แม้คนทำงานระดับปฏิบัติการจะพยายามสร้างความต่อเนื่อง แต่การขาด “พิมพ์เขียว” ที่ชัดเจนและยั่งยืนยังคงเป็นปัญหาใหญ่

ผศ.ดร.พัทน์ ทิ้งท้ายได้อย่างน่าสนใจว่า “นโยบาย AI ไม่ควรจบในตัวมันเอง” เขาเปรียบเทียบว่า AI ที่ทรงพลังแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์หากต้องมาติดอยู่กลางจราจรในกรุงเทพฯ การจะทำให้เทคโนโลยีเบ่งบานได้ ต้องแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยรอบข้างควบคู่กันไป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันคือเรื่องของ “วัฒนธรรม” ที่ต้องสร้างให้เกิดการส่งต่องานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

อนาคตของไทยในยุค AI ไม่ได้ฝากไว้ที่การมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างสังคมที่แข็งแกร่ง มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และเหนือสิ่งอื่นใด คือการยกระดับ “ความเป็นมนุษย์” ให้เท่าทันและสามารถควบคุมเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาได้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Andrew Ng ชี้ทิศทาง AI จากมายาภาพ AGI สู่ยุคที่ทุกคนเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์

AI คือมิตรหรือศัตรู? เจาะลึกเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกจากภัยคอลเซ็นเตอร์ถึงห้องผ่าตัด

×

Share

ผู้เขียน