ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาพฉายของปัจจัยลบที่บั่นทอนศักยภาพการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่หดตัว ความสามารถในการแข่งขันของ SME ที่ลดลง และตำแหน่งงานในองค์กรใหญ่ที่กำลังถูกทบทวน แต่ในอีกด้านหนึ่ง คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็กำลังก่อตัวเป็นโอกาสมหาศาลที่อาจพลิกสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง

ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ ถูกสะท้อนอย่างคมชัดผ่านมุมมองของ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ซึ่งได้นำเสนอกรอบวิเคราะห์ ‘3 ลด 3 เพิ่ม’ เพื่อชี้ให้เห็นว่าประเทศกำลังเผชิญหน้ากับอะไร และจะก้าวต่อไปอย่างไรบนสมรภูมิ AI ที่นับวันยิ่งทวีความสำคัญ โดยหัวใจสำคัญของข้อเสนอแนะคือ ทิศทางของไทยไม่ได้อยู่บนสังเวียนการสร้าง AI พื้นฐานเพื่อแข่งขันกับมหาอำนาจโลก แต่อยู่ที่การยกระดับตัวเองสู่การเป็น ‘ผู้ประยุกต์ใช้ AI เฉพาะทาง’ (Domain-Specific AI) ให้เกิดมูลค่าสูงสุดในอุตสาหกรรมที่ไทยมีแต้มต่อ
3 ปัจจัย ‘ลด’ ที่น่ากังวล
ก่อนจะมองไปถึงโอกาสอันสดใส จำเป็นต้องยอมรับความจริงอันน่ากังวล 3 ประการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้า ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ AI ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็น”
ประการแรก คือ จำนวนประชากรลดลง ข้อมูลล่าสุดชี้ชัดว่าจำนวนประชากรไทยได้ลดลงต่ำกว่า 65 ล้านคน และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากอัตราการเกิดที่น้อยกว่าอัตราการเสียชีวิต ซึ่งหมายถึงกำลังแรงงานในอนาคตที่จะหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประการต่อมา คือ ขีดความสามารถ SME ลดลง ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักในการแข่งขัน หลายรายต้องปิดตัวลง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโรงงานผลิตถ้วยชามตราไก่ในลำปางที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับสินค้าราคาถูกจากจีน สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านการลงทุน R&D และเงินทุนของ SME ไทย
ประการสุดท้าย คือ ตำแหน่งงานในองค์กรลดลง องค์กรขนาดใหญ่เริ่มปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น นำไปสู่การลดจำนวนพนักงาน ดังจะเห็นได้จากโครงการสมัครใจลาออกที่เกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโครงสร้างการจ้างงานแบบดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร
สถานการณ์ “3 ลด” นี้ ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทำให้การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความสามารถในการแข่งขันจึงกลายเป็นวาระเร่งด่วน
แสงสว่างปลายอุโมงค์: 3 ปัจจัย ‘เพิ่ม’ ขับเคลื่อนด้วย AI
ท่ามกลางความท้าทาย กลับมีปัจจัยเชิงบวก 3 ประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งทั้งหมดมี AI เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน และเป็นความหวังในการพลิกสถานการณ์ของประเทศ
ประการแรก คือ AI ฉลาดเพิ่มขึ้น การมาถึงของ Generative AI ได้ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า AI จะมีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ (AGI) และอาจก้าวไปสู่ระดับที่เหนือกว่ามนุษย์ (ASI) ภายใน 10 ปี ซึ่งศักยภาพที่เพิ่มขึ้นนี้หมายถึงเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งขึ้นในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
ประการต่อมา คือ มูลค่าตลาด AI เพิ่มขึ้น ตลาด AI ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยปีละกว่า 30% โดยมีมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1.2 – 1.3 แสนล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสทางธุรกิจมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดที่กำลังขยายตัวนี้
ประการสุดท้าย คือ AI สร้างงานเพิ่มขึ้น แม้งานในอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การผลิต การขนส่ง และการเงินจะลดลง แต่ผลวิจัยจากสถาบันชั้นนำอย่าง PwC และ Gartner ต่างชี้ตรงกันว่า AI จะสร้างอาชีพใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในภาพรวม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น การแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษา และเกษตรกรรม ซึ่งต้องการนวัตกรรมและทักษะใหม่ ๆ
ทิศทางชาติบนสมรภูมิ AI: ‘ไม่ใช่ผู้สร้าง’ แต่ต้องเป็น‘ผู้ประยุกต์ใช้ชั้นเลิศ’
เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างการพัฒนา AI ของไทยในปัจจุบัน ซึ่งแบ่งได้ 3 ระดับ คือ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทต่างชาติ โมเดลพื้นฐาน (Foundation Model) ที่ไทยยังมีข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร และ การประยุกต์ใช้ (Application) พบว่าจุดแข็งและโอกาสที่แท้จริงของประเทศไทยอยู่ที่ระดับบนสุด
ทิศทางของชาติจึงไม่ควรเป็นการทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้าง Foundation Model แข่งขันกับโลก แต่ต้องมุ่งเน้นไปที่การเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้ AI เฉพาะทาง” (Domain-Specific AI Application) โดยนำความรู้ความเชี่ยวชาญที่ไทยมีอยู่แล้วในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว การแพทย์ และการผลิต มาผนวกรวมกับเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์และมีเอกลักษณ์ สามารถส่งออกและสร้างความได้เปรียบในระดับภูมิภาคได้
อย่างไรก็ตาม แม้ผลสำรวจล่าสุดโดย Oxford Insights จะจัดให้ไทยมีความพร้อมด้าน AI เป็นอันดับ 3 ในอาเซียน (รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย) แต่ก็มีจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถทำการวิจัยและนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้จริง รวมถึงระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ (Startup Ecosystem) ที่ยังไม่แข็งแกร่งพอ
ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ: จิ๊กซอว์ที่ต้องต่อให้เป็นภาพ
เพื่อให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรม การทำงานแบบต่างคนต่างทำไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยการประสานงานอย่างเป็นระบบ โดยมีข้อเสนอแนะที่ชัดเจนถึงทุกภาคส่วน
ภาครัฐต้องบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีกลยุทธ์ผ่านความร่วมมือกับเอกชน (Public-Private Partnership) สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ AI ของคนไทยอย่างจริงจัง และสร้างอุปสงค์ (Demand) จากหน่วยงานรัฐเอง
ภาคเอกชนต้องลงมือทำและเรียนรู้อย่าลังเลที่จะนำ AI มาใช้ และต้องสร้างความร่วมมือในระดับอุตสาหกรรม โดยบริษัทใหญ่ต้องช่วยเหลือบริษัทเล็กในลักษณะ “ฉลามกับเหาฉลาม” เพื่อให้เติบโตไปด้วยกันทั้งระบบนิเวศ
ภาคการศึกษา ต้องเร่งสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูง ทั้งในระดับบัณฑิตศึกษาและการเปิดหลักสูตรระยะสั้นเพื่อ Upskill และ Reskill
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ แผน AI แห่งชาติเปรียบเสมือนภาพจิ๊กซอว์ที่มีชิ้นส่วนครบถ้วนแล้ว แต่ยังขาด “พิมพ์เขียว” (Blueprint) ที่ชัดเจนในการจัดทัพและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและผนึกกำลังให้เป็นหนึ่งเดียว โอกาสมาถึงแล้ว แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมกันประกอบจิ๊กซอว์เหล่านี้ให้กลายเป็นภาพที่สวยงามและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AI สู้โลกร้อนพลิกเกษตรไทย: เมื่อข้อมูลคือทางรอดของ ‘เกษตรกรรายย่อย’
โจทย์จริงของ AI ที่ไว้ใจได้: ไม่ใช่ข้อมูลมหาศาลแต่คือการรับมือ ‘ข้อมูลจำกัด’