Share on
×

Share

AI สู้โลกร้อนพลิกเกษตรไทย: เมื่อข้อมูลคือทางรอดของ ‘เกษตรกรรายย่อย’

AI สู้โลกร้อนพลิกเกษตรไทย: เมื่อข้อมูลคือทางรอดของ ‘เกษตรกรรายย่อย’

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมของไทยที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2048 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจลดลงถึง 37% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึงสองเท่า ท่ามกลางความท้าทายนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะช่วยพยุงภาคการเกษตรให้อยู่รอด แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและขับเคลื่อนการเกษตรที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต

เทคโนโลยีการเกษตรที่พัฒนาในโลกตะวันตกส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่ฟาร์มขนาดใหญ่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยที่เกษตรกรกว่า 80% เป็นเกษตรกรรายย่อยมีที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ การ “คัดลอกและวาง” เทคโนโลยีจึงไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อ “ภูมิภาคของเราโดยเฉพาะ”

หัวใจของแนวทางนี้ คือการสร้างเทคโนโลยีที่ครอบคลุมและสร้างประโยชน์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ตลอดทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิตไปจนถึงโรงงานแปรรูปอาหาร โดยเป็นการบูรณาการข้อมูลหลากหลายมิติเข้าด้วยกัน ทั้งข้อมูลดิน สภาพอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลในแปลงเกษตร และภาพถ่ายภาคพื้นดิน เพื่อสร้างเป็นโซลูชันการวิเคราะห์ที่แม่นยำและตอบโจทย์ทุกฝ่าย

ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ListenField (ประเทศไทย)
ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ListenField (ประเทศไทย)

ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ListenField (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า AI คือ “ผู้ประสานงานกลางของทั้งห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain Orchestrator) เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้เล่นทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย นักวิจัย ไปจนถึงโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถอดรหัสความยั่งยืน: จากข้อมูลดินสู่ ‘โจ๊ก’ หนึ่งถ้วย

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี คือโครงการ “Regenerative Agriculture” ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ บริษัท ยูนิลีเวอร์ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อผลิตข้าวหอมมะลิอย่างยั่งยืนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักในการฟื้นฟูคุณภาพดิน เพื่อลดการใช้ปุ๋ยในระยะยาวและเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร

จากเดิมที่การตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน เกษตรกรต้องเก็บตัวอย่างดินส่งไปที่ห้องปฏิบัติการและรอผลนานถึง 3 เดือน เทคโนโลยี AI ได้เข้ามาปฏิวัติกระบวนการนี้ โดยใช้อุปกรณ์สแกนค่าสเปกตรัมของดิน (Handheld Spectrum Device) และสร้างแบบจำลอง (Model) เพื่อประมวลผลธาตุอาหารในดินได้ภายใน 5 นาที ทำให้สามารถให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยที่แม่นยำและเหมาะสมกับแต่ละแปลง (Personalized Recommendation) ได้ทันที

ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลสภาพอากาศเพื่อคาดการณ์ผลผลิต ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้โรงงานสามารถบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงผลผลิตล้นตลาดหรือขาดแคลน

นอกจากนี้ เทคโนโลยียังเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางการเกษตรยั่งยืน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและ AI มาวิเคราะห์และประเมินผลแทนการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทุกแปลง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการที่มีเกษตรกรรายย่อยเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 25,000 ไร่ ส่งผลให้สามารถลดการใช้เมล็ดพันธุ์และปุ๋ยลง แต่กลับเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรม

Optimize ทุกตารางเมตร: เทคโนโลยีจัดการผลผลิตข้าวโพดหวาน

นอกจากการฟื้นฟูดินแล้ว AI ยังถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการการผลิตพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ข้าวโพดหวาน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตจากเกษตรกรกับกำลังการผลิตของโรงงานแปรรูป ซึ่งมักนำไปสู่ปัญหาของเสีย (Waste) หรือการสูญเสียประสิทธิภาพทางธุรกิจ

ด้วยการนำข้อมูลกำลังการผลิตของโรงงานมาเป็นตัวตั้ง และใช้ AI เข้ามาช่วยวางแผนและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรว่าจะควรเริ่มเพาะปลูกในพื้นที่ใดและเมื่อไหร่ จึงจะทำให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่โรงงานได้อย่างสม่ำเสมอและพอดีกับกำลังการผลิตในแต่ละวัน นับเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดตลอดทั้งกระบวนการ

ความท้าทายและโอกาส: ก้าวต่อไปของ AgriTech ไทย

แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพมหาศาล ดร.รัสรินทร์ ชี้ว่าการนำมาปรับใช้ในภาคการเกษตรของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณภาพของข้อมูล (Data Quality) ซึ่งยังขาดความสมบูรณ์และเป็นระบบ ทั้งข้อมูลดิน สภาพอากาศ พันธุ์พืช ไปจนถึงพฤติกรรมการเพาะปลูกของเกษตรกร

อีกหนึ่งความท้าทายคือ วงจรการตอบกลับของข้อมูล (Feedback Loop) ที่ยาวนาน หากเปรียบเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ข้อมูลสามารถตอบกลับเพื่อปรับปรุงโมเดลได้ในระดับวินาที แต่ในภาคการเกษตร การให้คำแนะนำหนึ่งครั้งอาจต้องรอผลนาน 70-90 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาเก็บเกี่ยวหนึ่งรอบ นอกจากนี้ การที่เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีโดยตรง ก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการเก็บข้อมูลเพื่อนำกลับมาพัฒนาระบบ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำและ “ผู้ส่งออกเทคโนโลยี” ด้านการเกษตร (AgriTech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ และการมาถึงของ Generative AI จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้การสร้างคำแนะนำเฉพาะบุคคลทำได้อย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตทางการเกษตรที่ยั่งยืนและมั่นคงต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับ GDP ปี 68 เป็น 1.8% ชี้ผลกระทบ ‘สงครามชิป’ คือความเสี่ยงหลัก

AI ดันซินเน็คโตไม่หยุด ทุบสถิติรายได้ครึ่งปีแรก 2.28 หมื่นล้านบาท

×

Share

ผู้เขียน