Share on
×

Share

นูทานิคซ์ ชี้ ‘Resilience Imperative’ คือหัวใจโครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัล รับมือโลกผันผวน

นูทานิคซ์ ชี้ 'Resilience Imperative' คือหัวใจโครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัล รับมือโลกผันผวน

ในยุคที่โลกเทคโนโลยีเผชิญกับความผันผวนรอบด้าน ตั้งแต่การมาถึงของ AI, ความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม Cloud ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของผู้ให้บริการรายใหญ่ องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับโจทย์ท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งเรื่องการรักษาประสิทธิภาพของระบบให้สูง ควบคุมต้นทุนให้คาดการณ์ได้ และสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน (Resilience) ได้อย่างไร โดยไม่ต้องเพิ่มความซับซ้อนหรือสร้างไซโลใหม่ ๆ ให้กับองค์กร

นี่คือแก่นของแนวคิด “Resilience Imperative” หรือ “ภารกิจเร่งด่วนด้านความยืดหยุ่น” ที่นูทานิคซ์หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ ท่ามกลางผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดปีงบประมาณ 2568 ด้วยรายได้ที่เติบโต 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และการเติบโตของฐานลูกค้าใหม่กว่า 2,700 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าทั่วโลกเกือบ 30,000 ราย

โดยมี เจย์ ทูเซธ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ของนูทานิคซ์ และ ทิม โฮป ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีจาก Versent บริษัทพาร์ตเนอร์คนสำคัญ มาร่วมมอง 3 แนวโน้มหลักที่กำลังกำหนดทิศทางของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะแห่งอนาคต

แนวโน้มแรกคือ AI ที่ปลายทาง (AI at the Edge) เมื่อประสิทธิภาพสวนทางกับแรงกดดัน ข้อมูลในปัจจุบันไม่ได้ถูกสร้างและจัดเก็บในดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่กำลังหลั่งไหลมาจากอุปกรณ์ปลายทาง (Edge) นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ร้านค้าปลีก โดรน ไปจนถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ การมาถึงของ Generative AI และ Agentic AI ยิ่งผลักดันให้องค์กรต้องการประมวลผลข้อมูล ณ จุดที่ข้อมูลถือกำเนิดขึ้น เพื่อลดความหน่วงและเพิ่มประสิทธิภาพ

เจย์ ทูเซธ ชี้ว่า “องค์กรต้องการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและกระจายตัวเหล่านี้ด้วยความเรียบง่ายระดับเดียวกับการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ พวกเขาต้องการแพลตฟอร์มที่พร้อมสำหรับ AI โดยไม่แบ่งแยกประเภทของแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นแอปฯ ดั้งเดิม แอปฯ แบบ Microservices หรือแอปฯ สำหรับ AI”

โดยนูทานิคซ์ได้เดินหน้ากลยุทธ์นี้อย่างจริงจัง เห็นได้จากการที่ลูกค้ารายแรกของโลกที่ซื้อโซลูชันแพลตฟอร์ม AI ของบริษัทนั้นอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เกิดขึ้นจริงแล้วในภูมิภาคนี้

ในมุมมองของ ทิม โฮป บทสนทนาในหมู่ผู้บริหารได้เปลี่ยนจาก “AI คืออะไร” ไปสู่ “เราจะนำ AI มาใช้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร” “ความตื่นตัวเรื่อง AI ในระดับผู้บริหารมีสูงมาก แต่ก็ตามมาด้วยความกังวลเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) อธิปไตยของข้อมูล (Data Sovereignty) และการปฏิบัติตามข้อกำหนด” ทิมกล่าว

“คำแนะนำของเราคือ การวางกรอบการทำงานและธรรมาภิบาลให้ชัดเจนตั้งแต่เนิ่น ๆ และมองภาพรวมโครงสร้างพื้นฐานแบบองค์รวม (Holistic) ที่ครอบคลุมทั้ง Core, Edge และ Cloud เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่พร้อมรองรับความต้องการของ AI ที่จะหลั่งไหลเข้ามาในอนาคต”

แนวโน้มที่สองคือ ปิดช่องโหว่การป้องกันในโลก Cloud-Native เมื่อแอปพลิเคชันและข้อมูลกระจายตัวอยู่ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์หลัก (Core) อุปกรณ์ปลายทาง (Edge) และพับบลิคคลาวด์ (Public Cloud) ความซับซ้อนในการปกป้องข้อมูลจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ทีมไอทีที่มีงบประมาณและบุคลากรจำกัดต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่ Bare Metal, Virtualization ไปจนถึง Containerization และ Kubernetes

“Kubernetes เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม แต่ยังไม่สมบูรณ์ในตัวเอง มันยังขาดบริการด้านข้อมูลที่จำเป็นสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ สิ่งที่นูทานิคซ์ทำคือการนำความสามารถระดับองค์กร (Enterprise-Class) เข้าไปเสริม ทำให้การปกป้องข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและครบวงจร” ” เจย์ ทูเซธ อธิบาย

ทิมเสริมว่า ลูกค้ากำลังเผชิญกับต้นทุนแฝงมหาศาลจากการบริหารจัดการแพลตฟอร์มที่ซับซ้อน ต้นทุนที่ลูกค้ามักมองข้ามคือทักษะของบุคลากรเฉพาะทาง (Specialist Engineering Capability) ที่ต้องใช้ในการดูแลแพลตฟอร์มระดับสูง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำ Disaster Recovery และ Backup ที่มักไม่ได้ถูกประเมินไว้อย่างครบถ้วนในตอนแรก

“เราจึงเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่าองค์กรกำลังมองหาวิธีลดความซับซ้อนของแพลตฟอร์ม เพื่อให้ได้คุณค่าสูงสุดจากการลงทุน” เขากล่าว

แนวโน้มที่สามคือ รักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจในยุคแห่งความผันผวน ความท้าทายในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงปัจจัยมหภาคที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายบนคลาวด์ที่คาดเดาได้ยาก กฎระเบียบด้านอธิปไตยของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และที่สำคัญคือ ความผันผวนจากผู้ให้บริการ (Vendor Volatility)

ประเด็นการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom ได้กลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์จำนวนมาก ทั้งในด้านราคา การมัดรวมผลิตภัณฑ์ (Bundling) และเงื่อนไขการให้บริการ ซึ่ง เจย์ ทูเซธ ให้ความเห็นว่า ลูกค้าจำนวนมากจำใจต้องซื้อโซลูชันแบบมัดรวม แม้จะไม่ได้ต้องการใช้งานทุกส่วนประกอบก็ตาม สิ่งนี้กระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพิงผู้ให้บริการเพียงรายเดียว (Single Vendor Strategy) และเริ่มมองหาทางเลือกที่ให้อิสระและความยืดหยุ่นมากกว่า

“สิ่งที่องค์กรต้องการคือความสามารถในการโยกย้ายแอปพลิเคชัน (Application Portability) และความเป็นอิสระในการตัดสินใจ (Autonomy) เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจในระยะยาว” เจย์ ทูเซธ กล่าว

กรณีศึกษาของ Golding บริษัทลูกค้าในออสเตรเลีย สะท้อนภาพนี้ได้เป็นอย่างดี ทิมเล่าว่า Golding เผชิญความท้าทายโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและราคาของ VMware Cloud on AWS หลังการเข้าซื้อกิจการของ Broadcom ทีมงาน Versent ได้เข้าไปทำงานร่วมกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อออกแบบและโยกย้ายระบบไปยังแพลตฟอร์มนูทานิคซ์บน AWS EC2 ซึ่งไม่เพียงแก้ปัญหาด้านค่าใช้จ่าย แต่ยังสร้างแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและพร้อมสำหรับอนาคต หัวใจของความสำเร็จคือความไว้วางใจที่สร้างขึ้นจากการทำงานร่วมกันในฐานะพาร์ทเนอร์อย่างแท้จริง

นูทานิคซ์: แพลตฟอร์มแห่งความเรียบง่ายและเปิดกว้าง

ท่ามกลางความท้าทายทั้ง 3 ประการ นูทานิคซ์วางตำแหน่งตัวเองในฐานะ “ผู้สร้างความเรียบง่ายที่ยิ่งใหญ่” (The Great Simplifier) โดยนำเสนอแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและขับเคลื่อนด้วยความเรียบง่ายเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งล่าสุดได้รับการยอมรับในฐานะ “ผู้นำ” (Leader) ด้านการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์จาก Gartner

“เรามุ่งมั่นในแพลตฟอร์มที่เปิดกว้าง ลูกค้าสามารถโยกย้ายแอปพลิเคชันระหว่าง On-premise และ Public Cloud ได้อย่างง่ายดายเพราะมันคือแพลตฟอร์มเดียวกัน เรายังมีเครื่องมือที่ชื่อว่า Move ซึ่งล่าสุดได้ปรับปรุงให้สามารถทำการย้ายระบบแบบ In-place Migration ได้ ช่วยให้ลูกค้าโยกย้ายระบบมาอยู่บนแพลตฟอร์มเรา และสามารถย้ายออกได้เช่นกัน เราต้องการได้ธุรกิจจากลูกค้าในระยะยาวด้วยการส่งมอบคุณค่า ไม่ใช่ด้วยการผูกมัด (Lock-in)”

ความเรียบง่ายนี้ยังขยายไปถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ซึ่งนูทานิคซ์สามารถทำให้องค์กรสร้างแอปพลิเคชัน AI ที่มีประสิทธิภาพได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง ผ่านแพลตฟอร์มที่เน้นการคลิกแทนการเขียนโค้ด (Clicks instead of code)

ท้ายที่สุดแล้ว “Resilience Imperative” ไม่ใช่แค่การตั้งรับกับปัญหา แต่คือการวางรากฐานเชิงรุกที่ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น ในโลกที่ความซับซ้อนและความผันผวนกลายเป็นเรื่องปกติ ความเรียบง่าย ความเปิดกว้าง และความสามารถในการปรับตัว คือกุญแจสำคัญที่จะนำพาองค์กรไปสู่อนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

หาดทิพย์ พลิกเกมรีไซเคิลภาคใต้ ปั้นโมเดล ‘ขวดสู่ขวด’

สวทช. โชว์ ‘แพลตฟอร์มการเรียนรู้สำหรับนักเรียนพิการ’ คว้ารางวัลระดับโลก ณ กรุงปารีส

×

Share

ผู้เขียน