การประชุมสุดยอดว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย 2568 (Thailand National AI Summit 2025) ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำทางความคิดและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เพื่อร่วมกันฉายภาพอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในบริบทของประเทศไทย โดยไฮไลต์สำคัญ คือการบรรยายพิเศษจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้แก่ โฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), ศาสตราจารย์ ดร. โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีรพัฒ โชคสุวัฒนสกุล จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมทั้งมิติธุรกิจ จริยธรรม และกฎหมาย ทำให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและสังคม
การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยราชบัณฑิตยสภา เนื่องในการเฉลิมฉลอง 100 ปีราชบัณฑิตยสภา
มิติที่ 1: AI กับการพลิกโฉมธุรกิจขนาดใหญ่
โฆษิตได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์จริงในการนำ AI เข้ามาพลิกโฉมองค์กรขนาดใหญ่ โดยเน้นย้ำว่า AI ไม่ใช่เพียงกระแส แต่คือวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ
แนวคิดเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไทยเบฟฯ โดยเป็นแนวทางที่ผู้บริหารระดับสูงยึดมั่นมาตลอด 25 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ซึ่งมีหลักคิดสำคัญที่ต้องยึดถือคือ การใช้เทคโนโลยีอย่างไรไม่ให้กลายเป็นข้อจำกัดของธุรกิจ และ เราจะต้องสร้างขีดความสามารถของเราได้เอง
แนวคิดนี้เองที่ผลักดันให้ไทยเบฟฯ ก้าวข้ามบทบาทของการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี แต่หันมาพัฒนาความสามารถภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การสร้าง Data Centre ในช่วงแรกเริ่ม จนกระทั่งปัจจุบันที่ได้มีการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรม AI ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถมองเห็นปัญหาและพัฒนาโซลูชันที่ตรงจุดได้ด้วยตัวเอง
โจทย์หินของโลจิสติกส์: 180 ล้านกิโลเมตรต่อปีที่ AI เข้ามาจัดการ
โฆษิตได้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนที่สุดของ Pain Point ในธุรกิจคือเรื่องโลจิสติกส์ซึ่งเป็นธุรกิจแกนหลักของไทยเบฟฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ต้องจัดการของเหลวปริมาณมหาศาล ในแต่ละปีบริษัทต้องวิ่งรถขนส่งเป็นระยะทางกว่า 180 ล้านกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับการเดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ-ดวงจันทร์ถึง 228 รอบต่อปี ซึ่งครอบคลุมโรงงานผลิตนับ 10 แห่ง คลังสินค้าเป็น 100 แห่ง และจุดกระจายสินค้าเกือบ 500,000 จุดทั่วประเทศ
“เรานึกว่าเรามีปัญหาคนเดียว ปรากฏว่าพอเราออกไปเจอลูกค้าทั่วโลก ปัญหาที่เราเจอเป็นปัญหาที่ทุกคนเจอกันหมดเหมือนกัน แล้วก็ไม่มีโซลูชันกับปัญหาเหล่านี้”
ความท้าทายนี้ทำให้ไทยเบฟฯ ตัดสินใจลงทุนในสตาร์ตอัพชื่อ CERTU เพื่อพัฒนา AI โซลูชันสำหรับจัดการโลจิสติกส์โดยเฉพาะ โดยใช้ข้อมูลจริงจากธุรกิจในประเทศไทยทั้งหมด และได้กลายเป็นโมเดลที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกันในต่างประเทศได้แล้ว ปัจจุบันมีการใช้งานระบบนี้อยู่ 5 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และสหรัฐฯ/เม็กซิโก ด้วยมูลค่าธุรกิจกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
AI ผสานมนุษย์: วงดนตรีที่ผู้เล่นทุกคนสำคัญ
โมเดลการทำงานของไทยเบฟฯ ไม่ใช่การให้ AI ทำงานแทนคนทั้งหมด แต่เป็นการใช้ AI + มนุษย์ + Automation ที่เปรียบเสมือน “วงออเคสตร้า” ที่ผู้เล่นทุกคนมีความสำคัญ โดย AI จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการประมวลผลข้อมูลและสร้างคำแนะนำ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
โฆษิตชี้ให้เห็นว่า ประโยชน์ที่แท้จริงของการใช้ AI ไม่ใช่แค่การประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คือการลดเวลาในการวางแผนจาก 20 ชั่วโมงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมง ซึ่งเวลาที่เหลืออยู่ 19.5 ชั่วโมงนั้น สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เพราะ AI ช่วยในการจัดเส้นทางและวางแผนการใช้รถขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้สามารถลดจำนวนรถที่ต้องใช้ลงได้ แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพในการจัดส่งไว้ได้
อย่าใช้ AI เพื่อความตื่นเต้น
โฆษิตได้ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดสำคัญสำหรับองค์กรที่สนใจนำ AI มาใช้ว่า การใช้ AI โดยไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าจะนำมาแก้ปัญหาอะไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะ AI ที่แท้จริงต้องสามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจ และขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน และประสบการณ์ของไทยเบฟฯ ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้สามารถทำได้จริง
“คุณต้องรู้ให้แน่ชัดว่า Pain Point ของธุรกิจคืออะไร และเมื่อนำ AI มาใช้แล้ว จะต้องมั่นใจว่ามันแก้ปัญหาได้ถูกจุดจริง ๆ เพราะการประยุกต์ใช้ AI ในโลกธุรกิจจริง ๆ นั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการสำรวจ (Explore) แต่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง”
มิติที่ 2: AI กับจริยธรรมในมุมมองพุทธศาสนา

ด้าน ดร. โสรัจจ์ ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับจริยธรรมของ AI โดยเชื่อมโยงกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานวัฒนธรรมและจริยธรรมของสังคมไทย โดยชี้ว่า การพัฒนาและใช้งาน AI จำเป็นต้องมีกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบเชิงลบต่อสังคม
“จริยธรรมคือหลักประพฤติปฏิบัติที่สังคมยอมรับ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ เช่น การถอดรองเท้าเมื่อเข้าวัด ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น การรักษาสัญญาและความซื่อสัตย์” เขาอธิบายพร้อมยกตัวอย่างกรณีการใช้ AI เพื่อสอดแนมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นประเด็นจริยธรรมที่ถกเถียงกันในระดับสากล โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของสาธารณะ
หลักจริยศาสตร์เชิงพุทธ: หนทางสู่การพ้นทุกข์
ดร. โสรัจจ์ชี้ว่า การพัฒนา AI ควรยึดหลักจริยธรรมเชิงพุทธ ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือ การพ้นทุกข์ ทั้งในระดับบุคคลและสังคม การกระทำที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเป็นกุศล เช่น การพัฒนา AI เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ หรือปกป้องสิทธิพื้นฐานของบุคคล โดย AI ควรถูกออกแบบและใช้งานในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์หรืออันตรายต่อผู้อื่น
จากการวิจัยของ ดร. โสรัจจ์ ในปี 2024 พบว่า หลักเกณฑ์จริยธรรม AI ทั่วโลกกว่า 200 หลักเกณฑ์ ส่วนใหญ่มีรากฐานจากปรัชญาตะวันตก โดยมีเพียงไม่กี่หลักเกณฑ์ที่สะท้อนมุมมองจากวัฒนธรรมตะวันออก เช่น พุทธศาสนา หรือลัทธิขงจื๊อ ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างทางวัฒนธรรมในการกำหนดจริยธรรม AI
ในด้านนโยบาย ดร. โสรัจจ์เสนอว่า การกำกับดูแล AI ควรครอบคลุม 5 ระดับ ได้แก่ การออกแบบ การพัฒนากำลังคน การใช้งานในระดับบุคคล ระดับองค์กร และระดับกฎหมายระหว่างประเทศ โดยจริยธรรมต้องถูกฝังอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการใช้งานจริง นอกจากนี้ ยังต้องมีการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน เพื่อให้เข้าใจและใช้งาน AI ได้อย่างเหมาะสม โดยไม่ตื่นตระหนกหรือหลงใหลในเทคโนโลยีมากเกินไป
“เงื่อนไขจำเป็นในการใช้ AI เพื่อพัฒนาประเทศคือ การมีนโยบายกำกับดูแลที่เข้มแข็ง ความตื่นตัวของประชาชน และนโยบายที่ตั้งอยู่บนฉันทามติของสังคม” ดร. โสรัจจ์สรุป พร้อมย้ำว่า การนำหลักพุทธศาสนามาเป็นกรอบจริยธรรมจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนา AI ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับสังคม
มิติที่ 3: AI กับความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทย

ด้าน ดร.พีรพัฒ ได้ให้ภาพที่ชัดเจนของความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับกฎหมายไทย โดยชี้ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของความยุติธรรมในอนาคต
เขาเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ท้าทายว่า “AI เข้ามาในวงการกฎหมายเพื่ออะไร?” สำหรับพีรพัฒแล้ว กฎหมายมีเป้าหมายหลัก 2 อย่างคือ การเข้าถึงความยุติธรรม (Access to Justice) และ ความยุติธรรมต่อหน้ากฎหมาย (Justice before the Law)
ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาทางกฎหมายส่วนใหญ่ กว่า 99% ไม่ได้จบลงที่ศาล แต่ถูกแก้ไขด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น การไกล่เกลี่ย หรือการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตั้งแต่แรก ซึ่งการจะป้องกันได้นั้น ประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิและข้อกฎหมายของตนเองอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากมีจำนวนนักกฎหมายเพียง 119 คนต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า ทำให้การเข้าถึงความยุติธรรมในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดอย่างมาก และนักกฎหมายส่วนใหญ่ทำงานในภาคเอกชน ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงบริการทางกฎหมายได้ยาก
ดร.พีรพัฒ เสนอว่า AI ควรถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ โดยทำให้ข้อมูลกฎหมายเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและเข้าใจได้สำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อลดช่องว่างทางข้อมูลและช่วยให้ประชาชนสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยลดจำนวนคดีความที่ล้นศาลในปัจจุบันลงได้
AI กับการตรวจสอบความลำเอียง
ดร.พีรพัฒ ยังได้ฉายให้เห็นถึงปัญหาที่น่ากังวลในกระบวนการยุติธรรมที่เกิดจากความลำเอียง (Bias) ในกระบวนการตัดสินใจของมนุษย์ โดยยกงานวิจัยในต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจของผู้พิพากษาอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น มื้อเช้าที่ผู้พิพากษาทาน ผลการแข่งขันฟุตบอล หรือแม้แต่เรื่องเชื้อชาติและสีผิว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหลักการของความยุติธรรม
AI สามารถเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบความลำเอียงเหล่านั้นได้ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลการตัดสินคดีจำนวนมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติของคำตัดสิน ซึ่งจะช่วยให้ระบบยุติธรรมมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะทำเช่นนั้นได้ ประเทศไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญคือ การเข้าถึงข้อมูลคำพิพากษาฉบับเต็มที่ยังเป็นไปได้ยาก
AI กับความเสี่ยงทางสังคมและกฎหมาย
นอกจากการนำ AI มาใช้ในวงการกฎหมายแล้ว ดร.พีรพัฒ ยังได้กล่าวถึงความท้าทายในเรื่องการกำกับดูแล AI โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ AI จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกทางสังคมผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ และเป็นสิ่งที่นักกฎหมายควรให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน
เขามองว่าการปล่อยให้บริษัทเทคฯ กำกับดูแลกันเองอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าความปลอดภัยของสังคม ซึ่งเป็นที่มาของการออกกฎหมายเพื่อควบคุม AI ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่กำลังพิจารณาออกกฎหมายในลักษณะเดียวกันกับสหภาพยุโรป
นักกฎหมายในยุค AI: จากนักกฎหมายสู่ ‘Social Engineer’
ในตอนท้าย ดร.พีรพัฒ ได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามถึงอนาคตของนักกฎหมายในยุค AI ว่า “นักกฎหมายในโลกที่มี AI ควรจะเป็นอย่างไร?” เขาเชื่อว่า AI จะเข้ามาแทนที่ทักษะด้าน Hard Skills ของนักกฎหมายหลายอย่าง แต่ทักษะด้าน Soft Skills ที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานจะยังคงอยู่
“สิ่งหนึ่งที่ AI ต่างจากมนุษย์มาก ๆ คือ AI เป็นเรื่องของ Outcome มากกว่า Process AI เน้นที่ผลลัพธ์ แต่คุณสมบัติที่สำคัญของมนุษย์ เช่น ความเข้าอกเข้าใจ ความอดทน และการเรียนรู้จากความผิดพลาด ล้วนเป็นเรื่องของกระบวนการ”
ดังนั้น หน้าที่ของนักกฎหมายในอนาคตจึงไม่ใช่แค่การรู้กฎหมาย แต่ต้องเป็น Social Engineer หรือ วิศวกรทางสังคม ที่สามารถเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของประชาชน และใช้กฎหมายเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด
“ในโลกที่ AI กําลังเข้ามาอยู่ในทุกบริบท หน้าที่ของเราคือการเข้าใจปัญหาจริง ๆ กฎหมายเป็นแค่หนึ่งในวิธีแก้ปัญหา เราใช้วิธีอื่น ๆ ก็ได้ แต่สิ่งสําคัญคือความเข้าใจว่าปัญหาคืออะไร”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AI และ Quantum: สองเมกะเทรนด์กำหนดทิศทาง IT Infrastructure ยุคใหม่
เบื้องหลังความฉลาด AI: ถอดรหัสต้นทุนความเสี่ยง และความจริงที่องค์กรต้องเผชิญ