Share on
×

Share

Bluebik เจาะลึกโลกแอปพลิเคชันขนาดใหญ่: ประสบการณ์ผู้ใช้คือหัวใจสำคัญในยุคดิจิทัล

Bluebik Applications

ในยุคที่โลกดิจิทัลหมุนเร็ว การพัฒนาแอปพลิเคชันไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างแพลตฟอร์มพื้นฐาน แต่ก้าวไปสู่การสร้างระบบนิเวศดิจิทัลขนาดใหญ่ หรือ “Large-Scale Application” ที่มีความซับซ้อน รองรับผู้ใช้งานและข้อมูลมหาศาลได้อย่างไร้รอยต่อ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร ได้ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญ และแนวทางการสร้างสรรค์แอปพลิเคชันแห่งอนาคตเหล่านี้ 

นิยามใหม่ของ “ขนาดใหญ่” ไม่ใช่แค่จำนวนผู้ใช้

คำว่า “Large-Scale Application” ในมุมมองของ ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Bluebik ไม่ได้วัดกันที่จำนวนผู้ใช้งานหลักหมื่น หลักแสน หรือหลักล้านเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมมิติที่ซับซ้อนกว่านั้น ได้แก่ 

– High Concurrent User ต้องรองรับผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมหาศาล (หลักหมื่นถึงหลักสิบล้านขึ้นไป) เช่น แอปพลิเคชัน Mobile Banking

– High Transaction Throughput แอปฯ ขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมสูงในหนึ่งหน่วยเวลา ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การจองคิวโรงพยาบาล การเพิ่มสินค้าลงตะกร้าใน E-commerce หรือการซื้อขายหุ้น/คริปโท

– Massive Data Volume คือ จัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล (ระดับ Terabyte หรือ Petabyte) ที่ไหลผ่านระบบ ทั้งข้อมูลผู้ใช้ ข้อมูลธุรกรรม หรือข้อมูลจากเซ็นเซอร์ IoT ต่าง ๆ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุค Big Data และ AI

– Integration Complexity แอปฯ ที่มีการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบอื่น ๆ ภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเชื่อมต่อได้มาก ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนและความสำคัญ เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่เชื่อมต่อธนาคารและร้านค้าต่าง ๆ

– Strict Performance & Availability Requirements แอปที่ต้องต้องทำงานได้อย่างต่อเนื่อง (24/7) มีประสิทธิภาพสูง เสถียร และปลอดภัยสูงสุด

Bluebik ชี้ว่าไม่มีเกณฑ์วัดเพียงข้อเดียว แต่เป็นการผสมผสานปัจจัยเหล่านี้ แอปพลิเคชันบางตัวอาจมีผู้ใช้ไม่มาก เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลภายในองค์กร แต่จัดการข้อมูลมหาศาล หรือมีจุดเชื่อมต่อ (Integration Point) จำนวนมาก ก็ถือเป็น Large-Scale Application ได้เช่นกัน

ทำไมแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ถึงเติบโต? เทรนด์ในไทยและทั่วโลก

การเติบโตของแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะในประเทศไทย พฤติกรรมผู้บริโภคสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Mass Digital Adoption) ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยกว่า 93% เป็น Mobile-First และอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนยังคงเติบโต การใช้งานพร้อมเพย์ที่สูงถึง 80% ของประชากร เป็นตัวบ่งชี้สำคัญ

เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต (Digital Economy Growth) มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจะคิดเป็น 11% ของ GDP ภายในปี 2027 (พ.ศ. 2570) เพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 2023 การเติบโตนี้สร้างความต้องการโซลูชันดิจิทัลใหม่ ๆ

โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง (Strong Digital Infrastructure) ทั้งการลงทุนใน Cloud Computing จากผู้ให้บริการระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น AWS, Google, Huawei และ Microsoft และการเป็นประเทศแรก ๆ ในอาเซียนที่ใช้ 5G ทำให้ไทยมีพื้นฐานที่พร้อมรองรับแอปฯ ขนาดใหญ่

นโยบายภาครัฐ (Government Initiatives) ทั้งการส่งเสริม Thailand 4.0, Cloud First Policy โครงการ Digital Wallet และ Digital ID ล้วนผลักดันให้เกิดการลงทุนและใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในวงกว้าง

การพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม (Industry 4.0) การนำหุ่นยนต์, IoT และ Data Analytics มาใช้ในภาคการผลิต ทำให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาล 

ระบบนิเวศของบุคลากรด้านเทคโนโลยี (Tech Talent Ecosystem) แม้จำนวนอาจไม่เท่าเวียดนาม แต่คุณภาพของบุคลากรไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล

“เมื่อฐานผู้ใช้ดิจิทัลเติบโต ธุรกิจก็กล้าที่จะลงทุนในแอปพลิเคชันมากขึ้น และด้วยเทคโนโลยีที่ราคาถูกลงทุกปี ขนาดของแอปก็มีแนวโน้มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่ซับซ้อนและฐานลูกค้าที่ขยายตัว” ปกรณ์ กล่าว

Bluebik เน้นย้ำว่า ความซับซ้อนของระบบที่ต้องรองรับผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้เติบโตแบบเส้นตรง (Linear) แต่เป็นแบบทวีคูณ (Multiplication) การรองรับผู้ใช้จาก 0 ถึง 100 คน ใช้ต้นทุนและสถาปัตยกรรมแบบหนึ่ง แต่การขยายจาก 100 เป็น 1,000 คน หรือหลักล้าน ต้องใช้การลงทุนและสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนกว่ามาก

Bluebik’s Approach: สร้าง “ตึกดิจิทัล” ไม่ใช่แค่ “บ้าน”

ปกรณ์เปรียบการพัฒนา Large-Scale Application ว่าเสมือนการสร้างตึกระฟ้า ไม่ใช่แค่บ้าน 2-3 ชั้น Bluebik ชี้ให้เห็นความแตกต่างสำคัญ นั่นคือ

– Complexity แอปฯ ขนาดใหญ่มีความซับซ้อนสูงกว่ามาก ทั้งในแง่สถาปัตยกรรม การออกแบบ การเชื่อมต่อระบบ การจัดการ Log และการแก้ไขปัญหา

– Specialization แอปฯ ขนาดใหญ่ต้องการทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่แค่ Full-Stack Developer คนเดียว แต่ต้องมี Solution Architect, Enterprise Architect, Frontend Engineer, Backend Engineer, Cloud Infrastructure Engineer, QA และ Project Manager ที่ทำงานประสานกัน

– Robustness & Process แอปฯ ขนาดใหญ่ต้องมีกระบวนการทำงานและการประกันคุณภาพ (QA) ที่เข้มงวด เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและน่าเชื่อถือสูงสุด

ซึ่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เช่น Microservices และ Horizontal Scaling บน Cloud Computing เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ระบบขยายตัวรองรับโหลดที่ผันผวนได้

อุตสาหกรรมลงทุนหนักในแอปพลิเคชันขนาดใหญ่

Bluebik มองว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ 1.ธนาคารและบริการทางการเงิน (Banking & Financial Services) ที่มีผู้ใช้งานหลักล้าน ธุรกรรมสูงจากพร้อมเพย์ ระบบภายในซับซ้อน และการเกิดขึ้นของ Virtual Bank จะยิ่งผลักดันการลงทุน

2. ค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ (Retail & E-commerce) พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน การเติบโตของแพลตฟอร์มซื้อขายและเดลิเวอรี่ การลงทุนในระบบ CRM/CDP (Customer Data Platform) ระบบจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะ และ Supply Chain Optimization

3. ประกันและสุขภาพ (Insurance & Healthcare) เป็นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาข้อมูลมหาศาล (Data-Intensive) ทั้งการคำนวณเบี้ยประกัน การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ และการพัฒนาระบบ Electronic Health Record (EHR)

4. โทรคมนาคม (Telecommunications) ธรรมชาติของธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกรรมออนไลน์จำนวนมาก และการพัฒนาบริการเสริม (Value-Added Services)

5. ภาครัฐและบริการสาธารณะ (Government & Public Sector) ความต้องการข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบาย การเพิ่มประสิทธิภาพบริการประชาชนผ่าน e-Service Portal และการผลักดัน Digital Transformation 

นอกจากนี้ กลุ่ม Manufacturing, Logistics และ Energy/Utility ก็มีแนวโน้มลงทุนมากขึ้นตามการนำ IoT มาปรับใช้

Experience Design: หัวใจที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้

สรณัญช์ ชูฉัตร ประธานเจ้าหน้าที่พัฒนาประสบการณ์ ของ Bluebik เน้นย้ำว่า ในวันที่เทคโนโลยีพื้นฐานอาจใกล้เคียงกัน ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) และการออกแบบส่วนต่อประสาน (User Interface – UI) คือสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง “ใช่” เพราะ การออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามตาม Template แต่ต้องเข้าใจผู้ใช้ในระดับลึก สร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหล ใช้งานง่าย และสะท้อน “กลิ่นอาย” หรือเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้น ๆ

Bluebik ใช้แนวทาง “นักออกแบบสายวิทย์” (Science-Led Design) ที่ผสมผสานความเข้าใจด้านจิตวิทยา การรับรู้ของสมอง และกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาในการออกแบบ ไม่ใช่แค่อาศัยอารมณ์ศิลปิน เมื่อผู้ใช้แอปขนาดใหญ่ คือ “ทุกคน” (หลักสิบล้านคน) การออกแบบต้องคำนึงถึงความหลากหลาย เรียกว่า เป็น Universal Design for All ทั้งวัย ความสามารถ และข้อจำกัดต่าง ๆ (เช่น ผู้พิการทางสายตา) เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusive Design)

Design System คือรากฐาน เพราะไม่ใช่แค่ Brand Book แต่เป็นระบบการออกแบบที่มีชีวิต (Dynamic) กำหนดองค์ประกอบต่าง ๆ (ปุ่ม, สี, Font, Layout) ให้มีความสอดคล้องกันทั่วทั้งแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ แม้จะพัฒนาโดยหลายทีม หรือต้องรองรับหลายภาษา/ภูมิภาค ช่วยให้การพัฒนาและแก้ไขทำได้รวดเร็วและคงเส้นคงวา

ก้าวไปอีกขั้นของการสร้างแอปขนาดใหญ่คือการสร้าง “ความรู้สึก” (Feel) ที่ดีในการใช้งาน การสร้างปฏิสัมพันธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเชื่อมโยง เช่น คำทักทาย “สวัสดี” ใน SCB Easy และที่สำคัญคือ การออกแบบเพื่อสร้าง “ความไว้วางใจ” (Trust) โดยเฉพาะในแอปที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือข้อมูลส่วนตัว

Bluebik ลงทุนอย่างหนักในทีม Design & Experience (DE) โดยมีเป้าหมายเป็นอันดับหนึ่งในด้านนี้ และมองว่านี่คือ Growth Engine สำคัญที่จะสร้างความแตกต่างในตลาด

อนาคตของ Large-Scale Applications: ใหญ่ขึ้น ฉลาดขึ้น และเชื่อมต่อมากขึ้น

Bluebik คาดการณ์แนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ ได้แก่ ขนาดและความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น แอปพลิเคชันจะมีขนาดใหญ่และจำนวนมากขึ้น เพื่อรองรับบริการดิจิทัลที่หลากหลาย การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะที่หลากหลายขึ้น (Device Explosion)​ เช่น นาฬิกา แว่น AR/VR, IoT Sensors ทำให้แอปฯ ต้องจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมี AI Integration เพราะ AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่จะเข้ามามีบทบาทในการเรียกใช้แอปพลิเคชันโดยตรง (AI ทำ Transaction แทนคน) ทำให้แอปฯ ต้องรองรับการเรียกจาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเกิด Personalization at Scale (Segment of One) เทคโนโลยีจะช่วยให้สามารถสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้ แม้จะมีผู้ใช้จำนวนมหาศาล ที่จะมาพร้อมกับ Conversational Design ซึ่ง Interface อาจเปลี่ยนจากการกดปุ่มไปสู่การสนทนา (คุยกับ AI) มากขึ้น นั่นคือ ผลกระทบของ Generative AI คือ AI จะเข้ามาช่วยในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์มากขึ้น ลดต้นทุน เพิ่ม Productivity แต่ก็สร้างความท้าทายในการปรับตัวของบุคลากร

“ใครไม่ใช้หรือไม่สามารถใช้ AI ได้ดี ต้นทุนจะสูงขึ้นและแข่งขันได้ยากขึ้นในโลกดิจิทัล” ปกรณ์ กล่าว

Bluebik พร้อมเป็นพันธมิตรสู่ความสำเร็จในโลกดิจิทัล

Large-Scale Application คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างสรรค์แอปพลิเคชันเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ทั้งในเชิงเทคนิค สถาปัตยกรรม ประสบการณ์ผู้ใช้ และบริบททางธุรกิจ Bluebik ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ได้ประกาศศักยภาพและความพร้อมในการเป็นสถาปนิกผู้วางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขนาดใหญ่ให้กับองค์กรและประเทศไทย เพื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความท้าทายและความซับซ้อนของการพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ และด้วยพนักงานกว่า 1,000 คน (กว่า 700 – 800 คนเป็นฝ่ายเทคนิค) และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในทุกมิติของการสร้างแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การออกแบบประสบการณ์ การพัฒนา ไปจนถึงการดูแลระบบ
ปกรณ์ กล่าวว่า Bluebik มีความพร้อมในการเป็นพันธมิตรให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบดิจิทัลขนาดใหญ่ ตัวอย่างผลงานที่ชัดเจนคือการที่บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด หรือ Orbit Digital (ซึ่งเป็นบริษัทที่ Bluebik ร่วมทุนกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR) ได้นำทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยพัฒนาระบบ Blue Card ของ OR ให้รองรับธุรกรรมได้มากกว่า 2 ล้านรายการต่อวัน จากเดิมที่รองรับได้ราว 1 ล้านรายการ และสามารถรองรับได้สูงสุดถึงหลักพันธุรกรรมต่อวินาที (TPS)

ทั้งนี้ จากประสบการณ์เหล่านี้ Bluebik มีข้อเสนอแนะสำคัญสำหรับผู้บริหาร ทั้ง CIO และ C-Level ที่ต้องการริเริ่มหรือพัฒนาระบบ Large-Scale Application โดยเริ่มจากการประเมินขนาดและความต้องการ ทำความเข้าใจก่อนว่าแอปพลิเคชันที่ต้องการนั้นใหญ่แค่ไหน เพื่อประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม เช่น On-Premise หรือ Cloud จากนั้นขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ หากองค์กรไม่เคยทำระบบขนาดใหญ่ ควรจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการประเมินความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Technology Assessment) ผลกระทบต่อระบบเดิม และวางแผนภาพรวม (Blueprint)

ศึกษาและวางแผนก่อนลงทุน (Study/Blueprint Phase) ก่อนตัดสินใจลงทุนมหาศาล ควรศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนทางธุรกิจ ฟีเจอร์ที่จะพัฒนา ผลกระทบต่อระบบอื่น และประเมินความคุ้มค่า (ROI) และต้นทุนรวม (TCO)

พิจารณาแนวทางที่ยืดหยุ่น (Flexible Approach) หากระบบหลังบ้านเดิมยังไม่พร้อม อาจเริ่มจากการสร้างบน Cloud (Greenfield) ก่อน แล้วค่อยเชื่อมต่อภายหลัง หรือใช้วิธีทยอยส่งข้อมูล (Asynchronous)

ดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญเข้าร่วม (Involve Key Stakeholders) การลงทุนขนาดใหญ่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหารระดับสูงหลายฝ่าย (CEO, CTO/CIO, CDO, BU Heads) และคณะกรรมการบริหาร (Board) เพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับทิศทางองค์กรและมีความคุ้มค่า

ใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Utilize Specialized Expertise) โดยเฉพาะด้าน Cloud Infrastructure ซึ่งมีความซับซ้อนเกินกว่ามาตรฐานทั่วไป การมีผู้เชี่ยวชาญจะช่วยออกแบบระบบให้รองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น การรับมือกับช่วงที่มีการใช้งานหนาแน่นสูงสุด (Peak Load)

“การพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ในยุคดิจิทัลไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่เป็นการผสานศาสตร์และศิลป์ ทั้งวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง และการออกแบบประสบการณ์ที่เข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง” ปกรณ์ กล่าว

Bluebik กำลังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในสมรภูมินี้ ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคต่อไป อาจกล่าวได้ว่า Bluebik ไม่ใช่แค่ผู้สร้างแอปฯ แต่คือ “สถาปนิก” ผู้ร่วมสร้างอนาคตดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง

×

Share

ผู้เขียน