Share on
×

Share

ส่องอนาคตโรงงานไทยผ่านเวที Industry 4.0 Awards 2025

ส่องอนาคตโรงงานไทยผ่านเวที Industry 4.0 Awards 2025

ด้วยเป้าหมายในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็น “ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง” ที่ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ได้ริเริ่มจัดงานมอบรางวัล “Industry 4.0 Recognition Awards 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อมอบเกียรติยศแก่ 25 สถานประกอบการที่มีความโดดเด่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ “โรงงานอัจฉริยะ” โดยรางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกย่องความสำเร็จ แต่ยังเป็นการปักหมุดหมายสำคัญบนเส้นทางการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี

งานมอบรางวัลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จ แต่ยังเป็นเวทีสะท้อนภาพความเป็นจริงของโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย และตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

รางวัลแห่งเกียรติยศ: เข็มทิศและภาษากลางสู่เวทีโลก

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
(ที่ 4 จากซ้าย) – ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า รางวัลนี้จัดขึ้นเป็นปีแรก ภายหลังจากที่ สวทช. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนพันธมิตร ได้ร่วมกันพัฒนา “Thailand i4.0 Index” ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมไทย โดยตั้งแต่ปี 2566 มีโรงงานไทยกว่า 900 แห่งที่เข้าร่วมการประเมิน และหลายแห่งได้นำผลลัพธ์ไปจัดทำแผนการลงทุนได้อย่างชัดเจน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้เรียนรู้วิธีการบูรณาการข้อมูลเครื่องจักร เพื่อจัดการซัพพลายเชนและการทำลีนออโตเมชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากการประเมินแล้ว Thailand i4.0 Index ยังทำหน้าที่เสมือนภาษากลางที่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลก โดยในปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 25 บริษัท (บริษัทขนาดใหญ่ 22 แห่ง และ SMEs 3 แห่ง) ซึ่ง สวทช. ยังมีกลไกสนับสนุนเพิ่มเติมผ่าน ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยังยืน (SMC) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อให้คำปรึกษา ทดลองทดสอบ และถ่ายทอดเทคโนโลยี Smart Factory ครบวงจร ทั้ง IIoT, Big Data, AI และ Automation

“รางวัลดังกล่าวถือเป็นการส่งเสริมให้สถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมเห็นคุณค่าและตัวอย่างของสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนสู่ระบบอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และร่วมกันสร้างระบบนิเวศโรงงานอัจฉริยะของไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว

เบื้องหลังความสำเร็จ: ความร่วมมือที่แข็งแกร่งของพันธมิตร

ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้เกิดจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือเชิงบูรณาการที่แข็งแกร่งจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการขยายผลการลงทุน

  • ด้านนโยบายและงบประมาณ: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่าน “แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต”
  • ด้านการส่งเสริมและสร้างมาตรฐาน: กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ) ได้ร่วมกันนำดัชนี Thailand i4.0 Index ไปใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันในการประเมินและสนับสนุนผู้ประกอบการ
  • ด้านสิทธิประโยชน์และการลงทุน: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้นำผลการประเมินจากดัชนีไปใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน
  • ด้านการเข้าถึงแหล่งทุน: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนด้านสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ

ความร่วมมือแบบรอบด้านนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ประกอบการจะได้รับการสนับสนุนในทุกย่างก้าว สร้างเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง

ภาพสะท้อนปัจจุบัน: เมื่ออุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในยุค “2.0”

ในปาฐกถาพิเศษ ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ได้ฉายภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลและเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ โดยชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะงักงัน ข้อมูลล่าสุดเผยว่า อุตสาหกรรมกว่า 61% ของประเทศยังคงอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจาก 3 ปีก่อนที่เคยอยู่ที่ 66% ในขณะที่สัดส่วนของอุตสาหกรรม 4.0 ยังคงนิ่งอยู่ที่ 2% เช่นเดิม

อุตสาหกรรม 2.0 คือโมเดลที่เน้นการผลิตจำนวนมากในสายการประกอบ (Mass Production & Assembly Line) ซึ่งความสามารถในการแข่งขันขึ้นอยู่กับต้นทุนแรงงานราคาถูกเป็นหลัก โมเดลนี้ได้สร้างกับดักให้กับเศรษฐกิจไทย เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ผลกระทบที่ตามมาทันทีคือ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดฮวบลง ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยรั้งท้ายในภูมิภาคอาเซียน

“มันไม่ใช่เหตุผลว่าเราไม่ควรขึ้นค่าแรง แต่มันเป็นเหตุผลว่าอุตสาหกรรมของเราเนี่ย มันไม่ตอบโจทย์กับการพัฒนาประเทศ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจจากการพึ่งพิงแรงงานเข้มข้น ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”

หนทางสู่การเปลี่ยนแปลง: 3 เสาหลักสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมใหม่

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ย้ำว่า กระทรวง อว. มุ่งสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่เอื้อต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืนผ่าน 3 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปั้น “คนทักษะสูง” ตอบโจทย์โลกอนาคต หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 คือ “คน” การลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจะไร้ความหมายหากขาดบุคลากรที่มีทักษะในการใช้งานและพัฒนาต่อยอด กระทรวง อว. จึงมุ่งเน้นการ “สร้างคน” ผ่านโครงการทุนการศึกษาและการฝึกอบรมที่ตรงเป้า โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนวิศวกรวางระบบ (System Integrator Engineer) และสร้างบุคลากรไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
  2. “วิจัยที่เดินเข้าโรงงาน” เปลี่ยนทฤษฎีสู่การปฏิบัติ เพื่อก้าวข้ามการเป็นผู้ซื้อเทคโนโลยี กระทรวง อว. ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “วิจัยเพื่อรู้” ซึ่งอาจจบอยู่บนหิ้งในห้องปฏิบัติการ ไปสู่ “วิจัยเพื่อใช้ประโยชน์” ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม แนวคิดนี้คือ “งานวิจัยที่ดีต้องเดินเข้าโรงงาน” ไม่ใช่จบที่ห้องแล็บ ซึ่งหมายถึงการส่งเสริมให้นักวิจัยทำงานร่วมกับผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการ ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสายการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม
  3. “มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง” ปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่น การยกระดับอุตสาหกรรมต้องเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ในเขตเศรษฐกิจหลัก ภายใต้นโยบาย “หนึ่งมหาวิทยาลัย หนึ่งภารกิจ” มหาวิทยาลัยในแต่ละจังหวัดจะเปลี่ยนบทบาทเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่อาจขาดแคลนทรัพยากร มหาวิทยาลัยจะช่วยให้คำปรึกษา ถ่ายทอดเทคโนโลยี และเชื่อมโยงผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้ากับผู้ประกอบการรายใหญ่ในห่วงโซ่อุปทาน สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งและไร้รอยต่อ

วิสัยทัศน์ 5 ปี: สู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ดึงดูดการลงทุน

ความพยายามทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ชัดเจน โดยท่านปลัดกระทรวง อว. ได้กล่าวถึงภาพในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า “เราจะเห็นโรงงานในประเทศไทยมีระบบการผลิตที่เชื่อมโยงกัน ข้อมูลจะถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม”

วิสัยทัศน์ดังกล่าวหมายถึงภาพของโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่เครื่องจักรและระบบต่าง ๆ สามารถสื่อสารกันเองผ่าน Industrial Internet of Things (IIoT) ข้อมูลการผลิตมหาศาลจะถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด สามารถคาดการณ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรก่อนที่จะเสียหาย ลดของเสียในสายการผลิต และจัดการพลังงานได้อย่างชาญฉลาด พนักงานจะเปลี่ยนบทบาทจากการทำงานซ้ำซากไปสู่การเป็นผู้ควบคุมและพัฒนาระบบที่มีทักษะสูงขึ้น

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการพลิกโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ จากฐานการผลิตที่เน้นปริมาณและราคาถูก ไปสู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถแข่งขันได้ด้วยคุณภาพ นวัตกรรม และความน่าเชื่อถือ สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นนำของโลก

ดังนั้น สถานประกอบการที่ได้รับรางวัลทั้ง 25 แห่งในวันนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ชนะ แต่เป็นทัพหน้าและเป็นต้นแบบที่มีชีวิต ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าวิสัยทัศน์นี้ไม่ใช่ความฝันอันไกลโพ้น แต่เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญในการสร้างอนาคตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไทย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สกสว. ยกเครื่องระบบทุนวิจัย เชื่อมห้องแล็บสู่ตลาด ปั้นนวัตกรรมสร้างชาติ

จริยธรรม AI เมื่อ ‘ความรับผิดชอบ’ สำคัญกว่า ‘ความฉลาด’

กสว. เปิด 5 ยุทธศาสตร์ทุนวิจัยปี 70 เน้นสร้างผลกระทบ-แก้โจทย์ใหญ่ประเทศ

×

Share

ผู้เขียน